ธนชาต เชียร์ STARK 5 บาท เป้า 3 ปี กำไรโต 3 เท่า

HoonSmart.com>>บล.ธนชาต  เชียร์ “ซื้อ” STARK  มองเจ้าตลาดสายไฟฟ้า-สายเคเบิล ของไทย  ชี้เป้า 5 บาท มีอัพไซด์ 31.6%  คาดการร์ 3 ปี กำไรโต 3 เท่า เป็น 3,300 ล้านบาท 

บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต ออกบทวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา แนะนำ หุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เจ้าตลาดสายไฟฟ้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตสายไฟ และสายเคเบิลชั้นนำ   ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายอิงวิธี DCF ที่ 5.0 บาท

คาดกำไร จะเพิ่มขึ้นได้สามเท่าใน 3 ปี จากการขยายตลาดไปยังเวียดนาม และมีแรงหนุนจากความต้องการใช้งานสายเคเบิลที่แข็งแกร่งในภูมิภาค เพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่ยุค EV และเมืองอัจฉริยะ

บทวิเคราะห์ มองความโดดเด่นของ  STARK 1. เป็นผู้นำการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 14 ของโลก หลังขยายกิจการซื้อโรงงานในเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูง ช่วยให้ STARK มีส่วนแบ่งตลาดและอัตรากำไรสูงขึ้นจากการเข้าไปขายผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ในเวียดนาม

2 . STARK เป็นหุ้นเติบโต  คาดการณ์กำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ใน 3 ปี หรือเทียบเป็นการเติบโตที่ 62%/40%/32% ในช่วงปี 2021- 2023

3. STARK มีความสามารถการทำ กำไรสูงที่ ROE 41% ในปี 2021F และยังมีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประเมินมูลค่า STARK ด้วยวิธี DCF บนปีฐาน 2022F ได้ที่ 5.0 บาท และจากการมีแนวโน้มการเติบโตกำไรสูง  มองว่า ราคาหุ้นไม่ได้แพง ที่ PE ที่ 34 เท่า ปี 2021F และลดเหลือ 24 เท่า ในปี 2022F

รากฐานแข็งแรงสำหรับการเติบโต

STARK ดำเนินงานภายใต้แบรนด์ “Phelps Dodge” มีส่วนแบ่งตลาดราว 30% ในตลาดสายไฟฟ้าและเคเบิลในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีผู้ขายน้อยราย โดยมีผู้เล่นหลักสามราย ครอบครองส่วนแบ่งกว่า 60%

แม้ว่าปัจจุบัน Phelps Dodgeจะถือครองโดยเจ้าของใหม่ แต่ STARK นั้น อยู่ในธุรกิจมากว่า 50 ปีแล้ว และเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในไทย ที่สามารถผลิตสายไฟฟ้าแรงสูง
พิเศษ (230kV และ 500kV) ได้ STARK เพิ่มกำลังการผลิตรวมเป็น 2 เท่าในปีที่แล้ว จากการเข้าซื้อโรงงานในไทยและผู้ผลิตสายไฟและสายเคเบิล รายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม คือ ThiPha Cable ซึ่งเหล่านี้เป็นรากฐานของ แนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในอีกหลายปีข้างหน้า

คาดกำไรเพิ่ม 3 เท่า ใน 3 ปี

เราคาดกำไรของ STARK จะเพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็น 3.3 พันล้านบาท ในปี 2023F จาก 1.1 พันล้านบาท ในปี 2020

โดยมีปัจจัยหนุนการเติบโต ได้แก่ 1) ความต้องการสายเคเบิลมูลค่ากวา่ 2 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนของรัฐบาลไทยในปี 2021-25F ในการขยายสายส่ง การเดินสายเคเบิลใต้ดินในเมืองสำคัญ และการก่อสร้างรถไฟฟ้า

2) การขยายสายส่ง และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในเวียดนาม เพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

3) ปริมาณการขาย และมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นจากการรุกตลาดเคเบิลระดับไฮเอนด์ในเวียดนามเพื่อทดแทนการนำเข้า และ 4) มีคำสั่งซื้อในมือแล้วกว่า 9 พันล้านบาท ใน 2H21F

อัตรากำไรเพิ่มขึ้น

เราคาดว่า อัตรากาไรขั้นต้นของ STARK จะเพิ่มขึ้นเป็น 24% ในปี 2023F จาก 18% ในปี 2020 ซึ่งได้แรงหนุนจากการมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ที่เพิ่มขึ้น อัตราการใช้การผลิตที่เพิ่มขึ้น และประโยชน์จากขนาด

คาดว่าสายเคเบิลแรงปานกลางถึงสูง จะมีสัดส่วนเป็น 38% ของรายได้ในปี 2023F (จาก 33% ในปี 2020) หนุนโดยเทรนด์ของการยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ เพื่อรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และสมาร์ทกริด  คาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิต จะเพิ่ม เป็น 73% ในปี 2023F จาก 51% ในปี 2020

และจากการที่ STARK ได้กลายเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในอาเซียน หลังเข้าซื้อกิจการ ThiPha ในปีที่แล้ว อำนาจการต่อรองราคาที่สูงขึ้น จะช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบ (>80 % ของ COGS) ได้ด้วย