HoonSmart.com>>”แอสเซทไวส์” บุกสินทรัพย์ดิจิทัล ควง “บิทคับ แคปปิตอล” เพิ่มทางเลือกลูกค้าซื้อขายบ้าน-คอนโด ตั้งบริษัทย่อย”ดิจิโทไนซ์” ศึกษา-ลงทุนในอนาคต ใช้เงิน IPO วางมัดจำซื้อที่ดิน รองรับรายได้ 3-4 ปี บริหารต้นทุน รักษามาร์จิ้น 35-40% อัตรากำไรสุทธิ 20% มั่นใจปีนี้รายได้เข้าเป้า 5 พันล้านบาท โต 20% ครึ่งปีหลังโตดีกว่า 6 เดือนแรก กำลังศึกษาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ยอมรับกำลังคุยหลายรายร่วมทุนพัฒนาโครงการ
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์(ASW) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Bitkub) ในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค ผ่านการแลกสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอเรนซี่ เป็นเงินบาท เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมในเครือแอสเซทไวส์ ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้า 1-2 ราย นำเหรียญคริปโทฯ มาชำระค่างวดแล้ว นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดธุรกิจและปรับตัวสู่นวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว สร้างความสะดวกสบายและค่าธรรมเนียมต่ำเพียง 0.25% เทียบกับรูดบัตรเครดิตที่ 2-3%
ปัจจุบัน Bitkub.com เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในการแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดกว่า 1,200 ล้านบาท/วัน ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ควบคู่กับ ASW ที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และเป็นผู้นำด้านแคมปัสคอนโดภายใต้แบรนด์เคฟ (KAVE) ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่เป็นกลุ่มนักศึกษาที่คุ้นเคยกับการใช้สกุลเงิน คริปโทฯ ในชีวิตประจำวัน
ล่าสุด ASW ได้จัดตั้ง บริษัทย่อย ชื่อ ดิจิโทไนซ์ เพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมุ่งความสนใจไปที่เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) พร้อม แต่งตั้ง บริษัท ฟิวเจอร์คอมแพทเทเร่ เป็นที่ปรึกษาผู้ชำนาญการในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รุ่นใหม่ในตลาด
นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2564 เป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าครึ่งปีหลัจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก จากการเร่งฉีดวัคซีน และการเปิดเมือง ทำให้มั่นใจว่าจะมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท เติบโตได้ 20% ตามเป้าหมาย และมียอดขาย 6-7 พันล้านบาท ขณะเดียวกันสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น 35-40% และอัตรากำไรสุทธิได้ 20% ปัจจุบัน ASW มียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 4,700 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังจะมีโครงการสร้างเสร็จอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ “เคฟ ทียู” (Kave TU) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และโครงการ “โมดิซ สุขุมวิท 50″ (Modiz Sukhumvit 50) มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้จนถึงปี 2565
สำหรับการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา ถือเป็นจังหวะที่ดี บริษัทนำเงินที่เสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก( IPO ) วางมัดจำ ซื้อที่ดินในราคาที่เหมาะสม รองรับการเติบโตของรายได้อีก 3-4 ปี นอกจากนี้ยังสนใจร่วมลงทุนกับหลายโครงการ โดยมีการเจรจากับผู้สนใจหลายราย แต่ติดเรื่องการเดินทางมาโครงการ ช่วงปลายปีนี้น่าจะชัดเจน
” เรามีกลยุทธ์ขายบ้านและคอนโดฯในราคาไม่สูง เพราะการบริหารต้นทุน โดยเฉพาะที่ดิน คือ ซื้อไว้ล่วงหน้า แล้วค่อยพัฒนา หรือการซื้อที่ดินราคาต่ำ มาพัฒนาเลย รวมถึงการซื้อที่แปลงใหญ่อีกหน่อย ทำเฟสแรก และรอทำเฟส 2 จะมีอัตรากำไรที่ดีได้ “นายกรมเชษฐ์กล่าว
ส่วนการจ่ายเงินปันผล บริษัทมีนโยบายจ่ายไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา จ่ายปีละ 2 ครั้ง จากเดิมจ่ายปีละ 1 ครั้ง
ด้านผลงานไตรมาส 1/2564 บริษัทมีรายได้รวม 1,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 582 ล้านบาท หรือโตขึ้น 98.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 591 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท หรือ 361.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 48.5 % และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 25.7%