PTT ปรับแผนลงทุนปี 64 เพิ่ม 1.45 หมื่นลบ. เน้นธุรกิจเทคโนโลยี-วิศวกรรม

HoonSmart.com>> ปตท.ทบทวนแผนลงทุนกลุ่มบริษัท ปรับเพิ่มเงินลงทุนกว่า 1.45 หมื่นล้านบาท จาก 5.29 หมื่นล้านบาท เป็น 6.75 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรม พร้อมร่วมทุม “กลุ่มปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค” ตั้งบริษัทค้าปลีกก๊าซธรรมชาติ ป้อนลูกค้าในนิคมฯ จ.ชลบุรี

บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ปตท. มีมติเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2564 ได้ทบทวนแผนการลงทุนของปตท. และบริษัทที่ปตท. ถือหุ้น 100% และอนุมัติให้ปรับแผนการลงทุนสําหรับปี 2564 จาก 52,931 ล้านบาท เป็น 67,504 ล้านบาท

ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงการลงทุนของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมโดยหลัก จากการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจไฟฟ้าที่ผ่านมาและการปรับแผนลงทุนในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ขณะที่การลงทุนโครงการอื่นๆ ยังคงดําเนินการตามแผนการลงทุนเดิม เช่น โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 และโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 รวมถึงการลงทุนผ่านบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น 100% อาทิ การขยายขีดความสามารถของสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) แห่งที่ 2 (หนองแฟบ) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 รวมถึงโครงการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจรและการลงทุนธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life science : ธุรกิจยา Nutrition และอุปกรณ์การแพทย์)

คณะกรรมการปตท.ยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) (บริษัทย่อยของ ปตท. ซึ่ง ปตท.ถือหุ้น 100%) จัดตั้งบริษัท ปิ่นทอง เนเชอรัลก๊าซ รีเทลล์ จำกัด (PINTHONG NGR) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับบริษัทในกลุ่มของบริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค ด้วยทุนจดทะเบียนไม่เกิน 282 ล้านบาท

บริษัท SMH และ บริษัทในกลุ่มของบริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค ถือหุ้นในสัดส่วนที่ 70:30 ตามลำดับ ในการดำเนินธุรกิจค้าปลีกก๊าซธรรมชาติผ่านระบบท่อขนส่งและจำหน่ายก๊าซฯ รวมทั้งให้บริการ Energy Solution Provider กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 5 จังหวัดชลบุรี เพื่อสนับสนุนและรองรับการลงทุนของลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)ให้มีการใช้พลังงานได้อย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ

ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 และดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2566