DOD จ่อรับออเดอร์เพิ่มหนุนโตก้าวกระโดดหลัง Q2 พุ่งเท่าตัว

“ดีโอดี ไบโอเทค” เผยครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มอัตราการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมส่งซิก อยู่ระหว่างเจรจา ลูกค้ารายใหม่ๆเพิ่ม เดินหน้าตั้งเป้ารายได้ทั้งปี โตก้าวกระโดด เมื่อเทียบจากปีก่อน หลังไตรมาส 2 กวาดรายได้ 233 ล้านบาท กำไรเติบโต 105%

น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 2/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม 233.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96.72% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 118.92 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 112.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 54.54 ล้านบาท

ศุภมาส อิศรภักดี

ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2561 บริษัทฯมีรายได้รวม 448.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.03% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 215.48 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 223.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น153.60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 88.06 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการย้ายโรงงานใหม่ ทำให้มีกำลังการผลิตในการรองรับออเดอร์ จากลูกค้าขนาดใหญ่ เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทฯมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,000,000 กล่องต่อเดือน และสามารถรองรับการผลิตได้เต็มที่ราว 1,500,000 กล่องต่อเดือน หรือคิดเป็นประมาณ 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด จากการรับจ้างพัฒนาและผลิต (ODM)

สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯในครึ่งปีหลัง 2561 นั้น บริษัทฯมองว่า ยังคงมีแนวโน้มอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาในการจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กับลูกค้ารายใหม่ๆอีกหลายราย ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่า จะสามารถได้ข้อสรุปภายในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 นี้

ดังนั้น จึงมั่นใจว่า รายได้รวมของบริษัทฯในปีนี้ จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เมื่อเทียบจากปีก่อนที่ มีรายได้ 388.56 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 142.19 ล้านบาท และรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่าระดับ 50% จากยอดการผลิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนความคืบหน้าโรงงานสกัดวัตถุดิบ (โรงที่ 2) ที่มีเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มกำลัง การผลิตวัตถุดิบประเภทสารสกัดเพิ่มเติมและมีความหลากหลายในการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึง ห้องปฏิบัติการวิจัยระดับสากล ตามมาตรฐาน ISO 17025 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการร่างแบบ พร้อมคาดว่า จะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2561 และจะสามารถเดินเครื่องการผลิตได้เต็มรูปแบบในปี 2563 โดยโรงสกัดดังกล่าวถือ เป็นโรงสกัดที่ครบวงจร และมีมาตรฐานสูงเทียบเท่ากับโรงสกัดยา ซึ่งการอนุมัติการร่างแบบจะต้องได้รับความเห็นชอบกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน

“ ลูกค้าหันมาให้ความสำคัญเรื่องมาตรฐานการผลิตมากขึ้น ซึ่งDOD เป็นบริษัทเอกชนระดับตันๆ ที่สามารถตอบโจทย์คุณภาพ และการผลิตที่ครบวงจร ตามแบบสากลได้มากที่สุด โดยจะเห็นได้จากมาตรฐานการ รับรองจาก ISO22000:2005, HACCP, GMP Codex และ HALAL ซึ่งเป็นเครื่องหมายการันตีความน่าเชื่อถือ รวมกับการผลิตในห้องปลอดเชื้อ (Clean Room) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตเดียวกับการผลิตผลิตภัณฑ์ยา มาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ” นางสาวศุภมาส กล่าวทิ้งท้าย