โดย… สุนันท์ ศรีจันทรา
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประเดิมใช้เครื่องหมาย C โดยบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC เป็นหุ้นตัวแรก เพื่อเตือนให้นักลงทุนรู้ถึงฐานะของบริษัท หลังจากงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปีนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน
การขึ้นเครื่องหมาย C ส่งผลให้หุ้น MPIC ต้องซื้อขายด้วยบัญชี CASH BALANCE โดยโบรกเกอร์ต้องให้ลูกค้าวางเงินสดเต็มจำนวนล่วงหน้าก่อนซื้อขายหุ้น นับตั้งแต่วันขึ้นเครื่องหมาย จนกว่าจะแก้ไขปัญหาส่วนของผู้ถือหุ้นที่ลดต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน
หุ้น MPIC อยู่ระหว่างการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย เพราะปัจจุบัน สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยมีเพียง7.54% โดยมีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 941 คน ทำให้ขาดคุณสมบัติการเป็นบริษัทจดทะเบียน เพียงแต่ตลาดหลักทรัพย์ผ่อนผันหลักเกณฑ์ให้
แต่ MPIC ใช้เวลาหลายปี ยังไม่สามารถกระจายหุ้นไปสู่การถือครองของนักลงทุนรายย่อยให้ได้สัดส่วนตามกฎเกณฑ์ได้ และขอการผ่อนปรนเรื่อยมา
สำหรับหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นสู้นักลงทุนรายย่อย จะต้องกระจายหุ้นไม่ต่ำกว่า 15% ของทุนจดทะเบียน โดยไม่จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่น้อยกว่า150 ราย
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MPIC คือ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กร๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR กลุ่มนายวิชา พูลวรลักษณ์ ถือหุ้นใหญ่ โดยทุนจดทะเบียนของบริษัทมีจำนวน 1,300.12 ล้านบาท
สาเหตุที่ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ เกิดจากผลประกอบการที่ตกต่ำ โดยขาดทุนหลายปีติดต่อ และ 6 เดือนแรกปีนี้ ขาดทุนสิทธิ 48.88 ล้านบาท ขณะที่ระยะเดียวกันปีก่อนขาดทุนสุทธิ 70.71 ล้านบาท โดยมียอดขาดทุนสะสมเมื่อสิ้นสุดไตรมาสแรกจำนวน 1,187.92 ล้านบาท
แม้ผลประกอบการยังย่ำแย่ แต่ฝ่ายบริหาร MPIC ยังเดินหน้าทุ่มเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเพิ่มทุนในบริษัทลูกและการจัดตั้งบริษัทในเครือใหม่ โดยไม่มีหลักประกันว่า เงินทุ่มใส่ลงไปในบริษัทลูก จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มหรือไม่
MPIC ตกอยู่ในสภาพหุ้นตายซากมานาน ราคาเคลื่อนไหวในระดับ 1 บาทต้นมาพักใหญ่ ส่วนมูลค่าการซื้อขายแต่ละวันน้อยมาก ระดับไม่กี่หมื่นบาท หรือไม่กี่พันบาทเท่านั้น เป็นหุ้นที่อยู่นอกสายตานักลงทุนโดยทั่วไป เพราะไม่มีปัจจัยพื้นฐานให้คำนวณความเหมาะสมของราคา
ธุรกิจของ MPIC คือ การซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จากต่างประเทศมาจำหน่ายในประเทศ ลงทุนในกิจการเกี่ยวกับธุรกิจภาพยนตร์ จัดซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศจำหน่ายผ่านโรงภาพยนตร์ รวมทั้งสื่อทีวี แต่ธุรกิจโดยรวมกำลังอยู่ในช่วงขาลง ฉุดให้ผลประกอบการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และกินทุนมาเรื่อยๆ
การแก้ปัญหาฐานะของ MPIC โดยเฉพาะปัญหาส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน มีอยู่ 2 แนวทางคือ การเพิ่มทุน หรือการทำให้ผลประกอบการมีกำไร ซึ่งไม่ง่ายทั้ง 2ทางเลือก
เพราะเมื่อผลประกอบการมองไม่เห็นอนาคต ผู้ถือหุ้น MAJOR คงไม่อนุมัติให้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน MPIC และการทำให้ผลประกอบการมีกำไร เชื่อว่าฝ่ายบริหาร MPIC พยายามอยู่ แต่หลายปีที่ผ่านมา ยังพลิกผลประกอบการให้มีกำไรไม่ได้
ผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนเกือบ 1,000 คนที่ถือหุ้น MPIC อยู่ ส่วนใหญ่คงมีต้นทุนสูง และทำใจตัดขายขาดทุนไม่ได้ ทำให้ราคาหุ้นยังประคับประคองยืนเหนือ 1 บาทได้ โดยล่าสุดปิดที่ 1.50บาท ทั้งที่ส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่าหุ้นละ 50 สตางค์แล้ว และมูลค่าทางบัญชีเหลือเพียงประมาณ40 สตางค์ต่อหุ้น
การขึ้นเครื่องหมาย C อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า ผู้ถือหุ้นรายย่อยควรจะตัดสินใจอย่างไรกับหุ้นMPIC