NER อัพเป้าปี 64 โกยรายได้ 2.4 หมื่นลบ. ปีหน้าสูงกว่า 2.87 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>> “นอร์ทอีส รับเบอร์” ปรับเป้าหมายปี 2564  ขายเพิ่มเป็น 4.4 แสนตัน รายได้จากการขายแตะ 2.44 หมื่นล้านบาท แนวโน้มราคายางไปต่อคาดเฉลี่ยปีนี้ที่ 75 บาทต่อกิโลกรัม  ไตรมาส 2 ใช้กำลังการผลิต  85-90% จาก 4.6 แสนตันต่อปี  จ่อเพิ่มอีก 5 หมื่นตัน หนุนปี 65  ผลิตรวม 5.1 แสนตัน รายได้จากการขายแตะ 2.87 หมื่นล้านบาท แผ่นปูนอนสัตว์ หนุนอีก 560 ล้านบาท คาดเริ่มผลิตไตรมาส 1 ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้า ยื่นประมูลโครการใหม่ 4 เมกะวัตต์ เตรียมรุกธุรกิจปลายน้ำ ศึกษาอยู่ 2 ธุรกิจ ยันไม่มีแผนซื้อกิจการ

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้าหมายในปี 2564  คาดว่าปริมาณขายยางเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 440,000 ตัน จากเดิม 410,000 ตัน และมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 24,450 ล้านบาท จากเดิม 22,220 ล้านบาท เนื่องจากความสามารถในการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากในไตรมาส 1 ใช้กำลังการผลิตไปประมาณ 85%  คาดว่าในไตรมาส 2 จะใช้ประมาณ 85-90% จากกำลังการผลิตทั้งหมด 460,000 ตันต่อปี  ปัจจุบันมียอดขายล่วงหน้าไปถึงไตรมาส 4 แล้ว

ขณะที่แนวโน้มราคายางยังอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดว่าราคาขายแผ่นยางรมควันปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 75 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบันอยู่ที่ 66 บาทต่อกิโลกรัม และเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีราคาขาย 55 บาทต่อกิโลกรัม โดยแนวโน้มราคาขายที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง มาจากวัตถุดิบน้ำยางข้น ถูกนำไปใช้ผลิตเป็นถุงมือยาง ทำให้วัตถุดิบหายไปค่อนข้างมาก ขณะที่ความต้องการยังมีสูงอยู่

นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 50,000 ตัน ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยกำลังการผลิตใหม่จะเริ่มตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2565 ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวม 510,000 ตันต่อปี จากเดิมที่ 460,000 ตันต่อปี ใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท ในการซื้อเครื่องจักรใหม่  คาดว่าในปี 2565 จะมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 28,780 ล้านบาท มีปริมาณขายที่ 500,000 ตัน

ด้านโครงสร้างรายได้ปี 2564 ทางบริษัทมีนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40  ในส่วนต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 70% , ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆอีก 10% เช่นสิงคโปร์ อินเดีย บังคลาเทศ เป็นต้น โดยมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่

ส่วนธุรกิจแผ่นปูนอนปศุสัตว์ คาดว่าภายในเดือน มิ.ย.2564 จะสามารถจดลิขสิทธิ์ได้แล้วเสร็จ บริษัทฯได้เร่งการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อการผลิตภายในไตรมาส 4 ปีนี้ และสามารถเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 1/2565 คาดว่าปี 2565 จะมีปริมาณขาย 300,000 แผ่น และมีรายได้จากการขาย 560 ล้านบาท และในปีถัดไปจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเต็มกำลังการผลิตที่ 1,000,000 แผ่นต่อปี และมีรายได้ที่ระดับ 2,516 ล้านบาท ภายในปี 2569

ด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าชุมชนจากก๊าซชีวภาพ  บริษัทฯมีพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลทุกโครงการ ซึ่งมีแผนจะยื่นเข้าประมูลโครงการใหม่ กำลังการผลิต 4 เมกะวัตต์ เงินลงทุนเบื้องต้นตั้งไว้ที่ 300 ล้านบาท ทั้งนี้ถ้าหากประมูลไม่ได้ บริษัทจะนำไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ในโรงงานของบริษัทเอง

“การเติบโตแบบ Inorganic Growth ปัจจุบันเรายังไม่มีแผนซื้อกิจการ  โดยเรายังมุ่งเน้นในการขยายธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ ซึ่งในอนาคตเรามีแผนจะขยายไปสู่ธุรกิจปลายน้ำมากขึ้น โดยปัจจุบันมีการศึกษาอยู่ประมาณ 2 ธุรกิจ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถเปิดเผยได้” นายชูวิทย์ กล่าว

นอกจากนี้บริษัทขอแจ้งวันใช้สิทธิ NER -W1 ครั้งที่ 2 วันที่ 15 มิ.ย. 2564 สัดส่วน 1 ต่อ 1  ในราคาใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้น 1.80 บาทต่อหุ้น เปิดรับใบแจ้งความจำนงการใช้สิทธิ ในวันที่ 8 – 11 มิ.ย. 2564 และวันที่ 14 มิ.ย.2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.30 น.