๐ ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในหลายประเทศ เนื่องจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน โดยล่าสุดประเทศพัฒนาแล้วฝั่งตะวันตก เช่น สหรัฐฯ และยุโรปมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนถึง 50.45% และ 39.32% ของจำนวนประชากรทั้งหมดตามลำดับ ขณะที่ประเทศภูมิภาคเอเชียไม่ว่าจะเป็นอินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไทยฉีดไปแล้ว 12.45%, 13.15%, 8.69% และ 3.58% ตามลำดับ เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดทำการตามปกติได้มากขึ้น ประกอบกับ คณะกรรมการ Fed ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้น จากฐานที่ต่ำ มีอุปสงค์ที่อัดอั้น และปัญหาขาดแคลนด้านอุปทาน จะเป็นปัจจัยที่หนุนเงินเฟ้อเพียงชั่วคราวเท่านั้น จึงมีแนวโน้มที่ Fed จะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไปในการประชุมวันที่ 15-16 มิ.ย.นี้
๐ ตัวเลขดัชนี Composite PMI อย่างเป็นทางการเดือน พ.ค. ประเทศหลักส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ประเทศฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงจากจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 สูงขึ้น และกลับมาใช้มาตรการคุมเข้ม โดยดัชนีรวม (Composite PMI) ของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.2 จุด เป็น 63.7 จุด ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนีรวมยูโรโซนปรับตัวเพิ่มขึ้น +3.3 จุด เป็น 57.1 จุด จากอุปสงค์ของผู้บริโภคทั้งในและนอกประเทศที่แข็งแกร่ง ขณะที่ดัชนีรวมญี่ปุ่น ปรับตัวลดลง -2.2 จุด เป็น 48.8 จุด ดัชนีรวมอินเดียปรับตัวลดลง -7.3 จุด เป็น 48.1 จุด และดัชนีรวมจีนปรับตัวลดลง -0.9 จุด เป็น 53.8 จุด จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงจากสถานการณ์ COVID-19 ภายนอกประเทศที่กระทบยอดคำสั่งซื้อ
๐ การแพร่ระบาดในระลอกที่ 3 ในไทยกดดันการใช้จ่ายภาคเอกชน โดยการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน -4.3% MoM อย่างไรก็ดี ล่าสุดครม. อนุมัติมาตรการลดภาระค่าครองชีพของครัวเรือนและการกระตุ้นการบริโภค วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท
๐ ปรับคำแนะนำจากคงน้ำหนักการงทุนในหุ้นยุโรปเป็นเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นยุโรป โดยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือน พ.ค. ของยุโรป เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด ที่ +4.0 จุด เป็น 114.5 จุด จากการแจกจ่ายวัคซีนที่รวดเร็ว ซึ่งหนุนการทยอยผ่อนปรนมาตรการ Lockdown และเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
๐ ปรับคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็นคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีน A-Shares เนื่องจากธนาคารกลางจีน (PBoC) ประกาศจะเพิ่มอัตราส่วนเงินกันสำรองขั้นต่ำ (RRR) ในรูปสกุลเงินต่างประเทศขึ้นจาก 5% เป็น 7% ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. เพื่อช่วยลดสภาพคล่องของสกุลเงินต่างประเทศ และลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินหยวน อีกทั้งล่าสุดปธน. Joe Biden ลงนามใน Executive order เพื่อห้ามการลงทุนในบริษัท 59 แห่ง รวมทั้งกลุ่มบริษัทจีน อาทิ บริษัท Huawei และบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และ Semiconductor อื่นๆ โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 2 ส.ค. นี้