III หุ้น 5 เด้ง บิ๊กล็อตดัน “ฐานทุนแกร่ง”

HoonSmart.com>>บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) เดินเกมส์ที่ฉลาดมาก  เจ้าของยอมเฉือนหุ้นออกมาเพียงเล็กน้อย ขายบิ๊กล็อตให้นักลงทุนรายใหญ่ เปรียบเสมือนยิงนกตัวเดียว ได้นกถึงห้าตัว สามารถปลุกหุ้นขึ้นร้อนแรง ดันราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่ทุกวัน (All time high) พาให้ผู้ถือหุ้น- นักลงทุนรวยกันถ้วนหน้า ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้รับประโยชน์เต็มที่ด้วย

บริษัทสามารถขายหุ้นที่ซื้อคืนในตลาดจำนวน 8 ล้านหุ้น ได้ราคาสูงเฉลี่ย 12.32 บาท/หุ้น เพิ่มส่วนล้ำมูลค่าหุ้นจำนวน 94.56 ล้านบาท และยังมีใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นหรือวอร์แรนต์ครั้งที่ 1 ( III-W1) รอแปลงสภาพในราคาเพียง 6 บาท/หุ้น หากใช้สิทธิทั้งหมดจะได้เงินเข้ามาอีก 913 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท เพิ่มโอกาสในการซื้อกิจการ และขอสินเชื่อนำมาขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นอีกมาก เป็นปัจจัยหนุนให้หุ้นวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย…

วิกฤตการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดตั้งแต่ปี 2563 มาจนถึงทุกวันนี้ กลับสร้างโอกาสให้กับ บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์อย่างครบวงจร ส่งผลให้ธุรกิจและกำไรเติบโตก้าวกระโดดชัดเจน สนับสนุนให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมาปิดที่ระดับ 13.60 บาท ณ วันที่ 2 มิ.ย.2564

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือของผู้นำ “ทิพย์ ดาลาล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่มองหาโอกาสทางธุรกิจตลอดเวลา และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็หาทางออกที่ดีที่สุด เห็นได้จากราคาหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ประเทศ บริษัทได้ตัดสินใจเปิดโครงการรับซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์ ระหว่างวันที่ 27 พ.ค.-26 พ.ย. 2563 โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นจำนวน 8 ล้านหุ้นหรือ 1.31% ของทุนเรียกชำระแล้ว ต้นทุนเฉลี่ย 5.01 บาท/ หุ้น

เมื่อจะขายออกสู่ตลาดตามเกณฑ์ สบโอกาสในช่วงธุรกิจโลจิสติกส์ทะยานขึ้น ราคาหุ้นติดลมบน “ทิพย์” นำทีมกรรมการ-ผู้บริหาร ขายหุ้นล็อตใหญ่ 40 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 8 บาท ให้กับ“สุระ คณิตทวีกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท คอมเซเว่น (COM7) จำนวน 15 ล้านหุ้น, “หมอพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี” จำนวน 15 ล้านหุ้น , น.ส.ศุทธิ โชติกเสถียร 8 ล้านหุ้น และ นายสง่า พิชญังกูร 2 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลาผ่านมาไม่ถึง 5 วัน สร้างความร่ำรวยให้กับทุกคน หมอพงศ์ศักดิ์และนายสุระ ได้กำไรคนละ  84 บาท แต่การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ มีสัญญาใจถือลงทุนระยะยาว

ส่วน “ทิพย์” ก็ร่ำรวยขึ้นเช่นเดียวกัน แม้ขายออกไปในราคาหุ้นละ 8 บาท จำนวน 15 ล้านหุ้น แต่ยังมีหุ้นในมือมากเกือบ 82 ล้านหุ้น ราคาหุ้นที่กระโดดมาไกล 13.60 บาท มูลค่าพอร์ตพองขึ้นมาก “วิรัช นอบน้อมธรรม” ขาย 12 ล้านหุ้น เหลือจำนวน 63 ล้านหุ้น “ธีรนิติ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” ขาย 7 ล้านหุ้น เหลือมากกว่า 53 ล้านหุ้น “จิโรจ พนาจรัส” และ”เฉลิมศักดิ์ กาญจนวรินทร์ “ขายคนละ 3 ล้านหุ้น เหลือเกือบ 25 ล้านหุ้น

การยกล็อตขายให้ “สุระ คณิตทวีกุล” ชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคนวงการตลาดทุน ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มมูลค่าให้กับ บริษัททริพเพิล ไอฯมาก เห็นได้จากนักลงทุนทั้งเล็กทั้งใหญ่กระโจนเข้าหาหุ้น III ผลักดันให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มพรวด จากที่เคยเทรดไม่ถึงวันละ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาทะลุ 1,200 ล้านบาทต่อวัน และราคาหุ้นโชว์ซิลลิ่งปิดที่ 12.20 บาท พุ่งขึ้น 2.80 บาท วันที่ 31 พ.ค.2564 นับเป็นจุดสำคัญ

วันรุ่งขึ้น (1 มิ.ย. ) บริษัทเลือกใช้โอกาสนี้ในการขายหุ้นที่ซื้อคืนออกไปในตลาด ได้ราคาสูงสุดที่ 12.70 บาท ราคาต่ำสุด 11.90 บาท คิดเป็นราคาเฉลี่ย 12.32 บาท/หุ้น  มูลค่ารวม 98.57 ล้านบาท เทียบกับต้นทุนของบริษัทใช้เงินซื้อหุ้นมาประมาณ 40 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 5.01 บาท ได้กำไรถึง 58.57 ล้านบาท หากเทียบกับมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท การขายหุ้นครั้งนี้ ช่วยเพิ่มส่วนล้ำมูลค่าหุ้นมากถึง 94.56 ล้านบาท

วันที่ราคาหุ้นซิลลิ่งสนิท มีผู้ถือวอร์แรนต์ (III-W1) มาใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นจำนวน 1 แสนหุ้น ในราคา 6 บาท/หุ้น ปัจจุบันคงเหลือวอร์แรนต์ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิจำนวน 152,226,837 หน่วย ซึ่งยังมีเวลามาแปลงเป็นหุ้น จนถึงวันที่ 13 พ.ค. 2566 เชื่อว่าราคาหุ้นที่ยืนเหนือ 10 บาท จะจูงใจให้มาใช้สิทธิอย่างต่อเนื่อง หากมาทั้งหมด บริษัทจะได้เงินเข้ามาอีก 913 ล้านบาท

ส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่เข้ามาจากการขายหุ้นคืน 94.56 ล้านบาท และหุ้นที่จะได้มาจากการแปลงวอร์แรนต์อีก 913 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท เปิดโอกาสให้นำไปซื้อกิจการเพื่อต่อยอดธุรกิจ รวมถึงเป็นส่วนของทุนในการขยายสินเชื่อได้อีก 2-3 เท่า สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโต มีกำไรเพิ่มขึ้น

เชื่อว่าหุ้น III จะให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนสุดคุ้มค่า เหมาะสำหรับการถือลงทุน เมื่อพิจารณาผลงานที่ผ่านมา หากซื้อหุ้นเมื่อสิ้นปี 2563 ปิดที่ระดับ 6.45 บาท ถึงวันนี้ผลกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัว โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นที่ถือมาตั้งแต่ IPO ที่ราคา 4.80 บาท เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2560 ถึงวันนี้ได้ผลตอบแทนเกือบ 3 เท่า ทั้งนี้ ยังไม่รวมเงินปันผลและการแจกฟรี III-W1 ที่ราคาพุ่งขึ้นมาเกือบ 7 บาทแล้ว