SONIC จ่อปรับเป้ารายได้ปี 64 ขึ้น โตเกิน 20% หลัง Q1 กำไรนิวไฮ

HoonSmart.com>> “โซนิค อินเตอร์เฟรท” ปรับเพิ่มเป้ารายได้ปี 2564 จากเดิมโตไม่ต่ำกว่า 20% หลังไตรมาส 1 กำไรนิวไฮ มุ่งขยายธุรกิจหลัก ขนส่งทางเรือ-อากาศ   ส่วนธุรกิจโลจิสซิ่ง เป้ายอดสินเชื่อใหม่ปีนี้ 200 ล้านบาท เตรียมเปิดพื้นที่รับฝากตู้คอนเทนเนอร์ในไตรมาส 2 นี้ เล็งซื้อกิจการต่างประเทศเพิ่ม

ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท (SONIC) เปิดเผยว่า เป้าหมายรายได้ในปี 2564 ตั้งไว้โตไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งเติบโตจากการขยายตัวของทุกธุรกิจ ทั้งการให้บริการขนส่ง ธุรกิจสินเชื่อรถหัวลาก และธุรกิจอื่นๆ โดยธุรกิจขนส่งที่เป็นสัดส่วนรายได้หลัก จะมุ่งเน้นการขยายการให้บริการมากขึ้น  เพิ่มสัดส่วนของขนส่งทางเรือ และทางอากาศ  จากปัจจุบันอยู่ที่ 77.01% และ 17.71% ตามลำดับ ของรายได้รวม

ทั้งนี้ธุรกิจโลจิสซิ่ง (โลจิสติกส์ + ลิสซิ่ง) ที่บริษัทได้ปล่อยสินเชื่อให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ ทำให้บริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ย คาดว่าในปี 2564 จะมียอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งครึ่งแรกของปีนี้สั่งสินค้ารถหัวลากไป 40 หัว และหางเทรลเลอร์อีก 40 หาง ส่วนครึ่งหลังของปี 2564 จะสั่งเพิ่มอีกครั้ง เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าในฐานที่ใหญ่ขึ้น

บริษัทมีแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจให้บริการสินเชื่อหัวรถลาก ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ดี และได้แหล่งเงินทุนจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (วอร์แรนต์) ในช่วงก่อนหน้า ทำให้บริษัทมีศักยภาพที่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจให้มีการเติบโต อีกทั้งในไตรมาส 2 บริษัทจะเริ่มเปิดพื้นที่ให้บริการรับฝากตู้คอนเทนเนอร์บริเวณ แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อขยายฐานลูกค้าโลจิสติดส์ และรองรับการให้บริการลูกค้าในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EEC)

“ในปี 2564 เราจะเติบโตขึ้นแน่นอน ด้วยทิศทางภาพธุรกิจที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 1 เราทำกำไรนิวไฮไปแล้วที่ 40.74 ล้านบาท มีแผนจะพิจารณาปรับเป้าหมายใหม่หลังรายงานงบไตรมาส 2 แล้วเสร็จ ซึ่งเรามีแผนจะขยายการเติบโตในธุรกิจหลัก ให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ได้รับผลกระทบน้อยมาก ส่วนใหญ่จะกระทบในเชิงบวกมากกว่า” ดร.สินติสุข กล่าว

นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพื่อสร้างการเติบโตให้เพิ่มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันกำลังเจรจาอยู่ 1 บริษัทในต่างประเทศเ เบื้องต้นยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากติดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางได้