LEO โตสนั่น! Q1/64 กำไรพุ่ง 191% มั่นใจปีนี้ทุบสถิติทำผลงานนิวไฮ

HoonSmart.com>>LEO เปิดผลงาน  Q1/64 กำไรแตะ 191% อานิสงส์ขนส่งสินค้า-ค่าระวางพุ่งแรง เดินหน้าขยายบริการใหม่ร่วมกับ China Post  ขยายธุรกิจ Self Storage/Container Depot มั่นใจปีนี้ทุบสถิติทำผลงานนิวไฮ

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส1/2564 บริษัทฯมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 27.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 191% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 9.3 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 473.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108%จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 228.1 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณและความต้องการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าระวางในการขนส่งสินค้ายังคงปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งบริษัทควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้สามารถบริหารอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอีกว่า บริษัทฯยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 20-25%จากการดำเนินธุรกิจปกติ ซึ่งยังไม่นับรวมการรับรู้รายได้จากการร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่ที่จะสนับสนุนให้บริษัทฯมีรายได้เติบโตทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่อง

ส่วนการเซ็นสัญญาเป็นตัวแทนและพันธมิตรทางธุรกิจกับทาง China Post Group ในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยต่อยอดทางธุรกิจให้ LEO ในการพัฒนาธุรกิจการขนส่งสินค้า International/Cross Border E-commerce และธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศให้เติบโตขึ้นและทำให้ในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 40-45%

ขณะเดียวกันบริษัทฯได้รับอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ให้เริ่มโครงการบริการห้องเก็บของส่วนบุคคล(Self Storage) แห่งที่ 2 ที่มีพื้นที่เพิ่มอีก 2-3 พันตารางเมตร และบริษัทฯยังได้เริ่มโครงการขยายธุรกิจลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) แห่งที่ 2 บริเวณ ถนน บางนา-ตราด ขาเข้า กม.21 เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ในปีนี้บริษัทฯวางงบลงทุนไว้ราว 200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการ(M&A)และขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโลจิสติกส์ โดย เร็วๆ นี้คาดว่าจะมีการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่เพิ่มเติมอีก ดังนั้นน่าจะสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2566 จะมีการเติบโตเป็น 2 เท่า หรือ 2,000 ล้านบาท จากปี2564