HoonSmart.com>>หุ้นไทยทุบสถิติดิ่งลงแรงที่สุดในโลก 4.50% เฉียดหลุด 1,500 จุด ตื่นข่าวลือ ผสมสารพัดข่าวลบ แต่แรงซื้อกลับรวดเร็ว เน้นหุ้นใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่ง ปตท.โชว์กำไรหรู 32,588 ล้านบาท ทิ้งบริษัทที่มีผลงานแย่ลง CPALL หุ้นขนาดกลางตกเป็นเป้าถล่ม หึ่ง! โต๊ะหยุดรับ Block Trade ผวาถูกตรวจสอบ หมดแรงซื้อหุ้นอ้างอิงดันราคา เล่นหุ้นโบรกเกอร์ รับวอลุ่มเทรดหนาแน่นเกิน 1 แสนล้านบาท/วัน
วันที่ 13 พ.ค. 2564 ตลาดหุ้นโลกยังอยู่ในช่วงขาลง ทั้งฝั่งสหรัฐ ยุโรปและเอเชีย ติดลบ 1-2% แต่หุ้นไทยแย่ที่สุด ระหว่างวันดิ่งลงแรงถึง 70.83 จุด คิดเป็น 4.51 % ลงเหวลึกที่สุด 1,501.02 จุด ก่อนกระชากขึ้นอย่างรวดเร็ว มาปิดที่ระดับ 1,548.13 จุด ติดลบ 23.72 จุด คิดเป็น -1.51% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 143,714.02 ล้านบาท ด้านนักลงทุนต่างชาติทิ้งต่อ-2,458 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยช้อน 4,542 ล้านบาท
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยดิ่งลงแรงผิดปกติ ตื่นตระหนกข่าว เทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก ทำให้ดัชนีทิ้งตัวลงแรงและมีการไล่ซื้อกลับอย่างรวดเร็ว กระชากให้ตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะปิดติดลบเพียง 23 จุด 1% เศษ เกาะกลุ่มตลาดต่างประเทศ แต่ยังอยู่ในระยะไม่ปลอดภัย มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 1,500 จุดได้อีกครั้ง
รอบนี้นักลงทุนเลือกขายหุ้นรายตัว ที่มีปัจจัยลบ เช่น กำไรไตรมาส 1 /2564 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เห็นได้ชัดเจนในหุ้นบริษัท ซีพี ออลล์(CPALL) ไหลลงแรง 4.53% รวมถึงหุ้นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่เพิ่งเข้าเกณฑ์แคชบาลานซ์วันแรก ราคากลับมาทรุดลงแรง 74 บาทหรือ 13% ก็มีผลต่อตลาดโดยรวม
นอกจากนี้หุ้นที่อยู่ใน SET50 และ SET 100 ที่สามารถนำมาใช้เป็นหุ้นอ้างอิงในการซื้อขายบล็อกเทรด หลายตัวก็ปรับตัวลงแรง จากที่ผ่านมาขึ้นมาแรงและเร็ว มีกระแสว่าโบรกเกอร์เข้มงวดการให้บริการบล็อกเทรด เพราะทางการกำลังตรวจสอบในเชิงลึก จึงทำให้ขาดแรงซื้อหุ้นอ้างอิงออกไปจากตลาด คงเป็นการเปลี่ยนมือในกระดานตามปกติเท่านั้น
ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารพาณิชย์ นำโดยธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กลับยืนบวกแข็งแรง เพิ่มขึ้น 3 บาทหรือ 2.51% ปิดที่ 122.50 บาท รวมถึงหุ้นลิสซิ่ง SAWAD และ MTC ซึ่งวันก่อนหน้าราคาปรับตัวลงแรงเกินไป ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มปตท. นำโดยบริษัท ปตท. (PTT) ก็ปรับตัวขึ้นคาดว่ากำไรจะออกมาดีตามแรงหนุนของบริษัทในเครือ ล่าสุดประกาศกำไรสุทธิ 32,58 ล้านบาท ดีกว่าไตรมาส 4 ที่มีกำไร 13,147 ล้านบาท และดีขึ้นมากจากไตรมาส 1/2563 ที่ขาดทุนสุทธิ 1,554 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวอย่างมาก โดยมีจุดสูงสุดที่ 1,561.80 จุด และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,501.02 จุด โดยดัชนีปิดลบ 23.72 สอดคล้องกับตลาดภูมิภาค ซึ่งปัจจัยภายนอก ตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้น ทำให้นักลลงทุนกังวลเรื่องการใช้เครื่องมือทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้เกิดแรง Panic Sell ทั่วโลก ส่วนปัจจัยภายในประเทศมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น อยู่ระดับ 4,000 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“หุ้นดีดกลับขึ้นมาได้ดีมาก เมื่อลงไปแตะแนวรับที่ 1,500 จุด พยายามจะปิดยืนบริเวณ 1,550 จุดด้วย มองว่ารอบนี้หุ้นปรับฐานไปเสร็จแล้ว ภาพดัชนีที่ดึงกลับ เกิดจากคนขายเพราะกลัว และมีคนกล้าที่จะซื้อขึ้นมา ทำให้ตลาดหุ้นตอนนี้เปลี่ยนมือไปแล้ว” นายวิจิตร กล่าว
ส่วนแนวโน้มของตลาดหุ้นในวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ (14 พ.ค. 2564) คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบ 1,540-1,565 จุด แนะนำหุ้นเด่น ได้แก่ IRPC , CHAYO และ WICE
ด้านนายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินอัตราเงินเฟ้อ เดือน เม.ย. สหรัฐฯ พุ่งเกินคาด สร้างความกังวลต่อตลาดหุ้น นักลงทุนเทขายหุ้น Growth Stock โยกเข้าหุ้น Value มองไม่ได้จุดเปลี่ยนตลาดเป็นขาลง แนะจับตาเฟดประชุมวันที่ 15-16 มิ.ย. รายงานเงินเฟ้อรอบถัดไป 10 มิ.ย. แนะสะสม 9 หุ้นเด่นเข้าพอร์ต ได้แก่ IRPC, ESSO, PTTGC, NER,TU, SAT, EPG,SAT, EPG