STGT นำหุ้นจดทะเบียนตลาดสิงคโปร์วันแรก เริ่มเทรด14 พ.ค.นี้

HoonSmart.com>> “ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย)” นำหุ้นเข้าจดทะเบียนบนกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ 10 พ.ค.นี้ ชื่อย่อหลักทรัพย์ STG ย้ำไม่มีการออกหุ้นใหม่ขาย เป็นการนำหุ้นของครอบครัวสินเจริญกุล ผู้ถือหุ้นใหญ่โอนไปตลาดหุ้นสิงคโปร์ คาดเริ่มซื้อขาย 14 พ.ค.นี้ เหตุผู้ถือหุ้นที่โอนหุ้นบางส่วนติดเกณฑ์ Blackout Period ห้ามซื้อขายหุ้นช่วง 30 วันก่อนประกาศงบการเงินประจำไตรมาสและ 1 วันหลังจากประกาศงบการเงินประจำไตรมาส

น.ส.จริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 พ.ค.2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป (ตามเวลาประเทศสิงคโปร์) บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนบนกระดานหลัก (Main Board) ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX-ST) โดยใช้ตัวย่อ STG ในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งจะไม่มีการออกและเสนอขายหุ้นใหม่ แต่เป็นการนำหุ้นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ (ครอบครัวสินเจริญกุล) โอนไปยังตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์

อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเริ่มทำการโอนหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไป เพื่อทำการซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ได้ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.นี้เป็นต้นไป เนื่องจากครอบครัวสินเจริญกุลซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ที่จะโอนหุ้นบางส่วนไปยังตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ติดหลักเกณฑ์ Blackout Period ห้ามซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 30 วันก่อนประกาศงบการเงินประจำไตรมาส และ 1 วันภายหลังจากประกาศงบการเงินประจำไตรมาส ทั้งนี้ การที่บริษัทฯ นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ก่อนประกาศงบการเงินประจำไตรมาส เนื่องจากต้องการให้เป็นไปกำหนดระยะเวลาเดิมที่วางไว้

สำหรับการเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ จะส่งผลดีต่อการขยายฐานผู้ถือหุ้นให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น หลังเข้าจดทะเบียนและซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 มีช่องทางระดมทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต และยกระดับหุ้น STGT ให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุนในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ยังจัดให้มีกลไกการโอนหุ้น เพื่อให้หุ้นของบริษัทฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ สามารถโอนหุ้นระหว่างตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 แห่งเพื่อทำการซื้อขายบนกระดานหลักทรัพย์ได้

ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ามีปริมาณการขายถุงมือยางรวมประมาณ 32,000 ล้านชิ้น เติบโตประมาณ 14% จากปี 2563 ที่มีปริมาณการขายเกือบ 30,000 ล้านชิ้น โดยมีแผนงานเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก 4 แห่งในปีนี้ ได้แก่ โรงงาน SR2 จังหวัดสุราษฎร์ธานี เริ่มเดินเครื่องจักรเต็มทุกไลน์การผลิตแล้ว โรงงาน SR3 ในจังหวัดสุราษฎร์คาดว่าเริ่มเดินเครื่องจักรภายในไตรมาส 2 นี้ โรงงานอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา คาดว่าเดินเครื่องจักรในไตรมาส 3 นี้ และโรงงานจังหวัดตรัง คาดว่าเดินเครื่องจักรในไตรมาส 4 นี้

ขณะที่ภาพรวมตลาดถุงมือยางทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง คาดว่าความต้องการใช้ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 แสนล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ