ระวัง! ตลาดสกัดหุ้นร้อน “เร็ว” เล็งออกดัชนีใหม่ แทนแก้ฟรีโฟลทต่ำ

HoonSmart.com>>นักเก็งกำไรต้องรู้ ตลาดหลักทรัพย์ประกาศนโยบายเข้าชาร์จหุ้นวิ่งแรงไร้เหตุผล เร็วและใกล้ชิดยิ่งขึ้น หวังเตือนให้ระวังหุ้นผิดปกติ ชะลอการปรับเกณฑ์คำนวณดัชนี หันมาศึกษาออกดัชนีใหม่ เอาใจนักลงทุนที่มีชอบหุ้นฟรีโฟลทรายย่อยต่ำ นักลงทุนเตรียมรับมือตลาดผันผวนจากธนาคารกลางหลายประเทศออกมาให้ข้อมูลนโยบายการเงิน-การคลัง ต้นเหตุต่างชาติขายสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท เผย 4 เดือนแรกปีนี้ หน้าใหม่แห่เปิดบัญชี 4-5 แสนบัญชี  เทรดถี่ขึ้น นักลงทุนไทยสัดส่วนซื้อขายมากกว่า 51% หุ้น DELTA ไม่หลุดโผ SET 50 เทรดสนั่น ราคาดีดกลับแรง 18%

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์มีนโยบายว่า หากหุ้นตัวใดเคลื่อนไหวรุนแรง โดยไม่มีเหตุผลอะไรออกมารองรับ จะเข้าไปเตือนตั้งแต่แรก และให้ข้อมูลแก่นักลงทุน พร้อมทั้งให้บริษัทจดทะเบียนออกมารายงานความเคลื่อนไหว มีการควบคุมรวดเร็วและใกล้ชิดยิ่งขึ้น จากเดิมไม่เข้าเกณฑ์ก็ยังไม่ได้เข้าไปดูแล โดยตลาดไม่ต้องการแก้ปัญหาปลายเหตุ โดยการปรับปรุงหลักเกณฑ์ฟรีโฟลทใหม่ในการคำนวณดัชนี ซึ่งผู้ให้ความเห็นส่วนมากไม่เห็นด้วย จึงชะลอออกไปก่อน

ปัจจุบันตลาดกำลังศึกษาที่จะออกดัชนีรูปแบบใหม่ ที่ตรงกับความต้องการของนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่อาจจะมีความต้องการลงทุนหุ้นที่ใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วยสัดส่วนผู้ถือรายย่อยในการคำนวนดัชนี (FreeFloat Adjusted Market Capitalization) ซึ่งสามารถออกได้ทันที ขึ้นอยู่กับความต้องการของผลิตภัณฑ์

” ดัชนีที่เราใช้อยู่ในตอนนี้ไม่ได้มีหลักการอะไรที่แตกต่างจากดัชนีที่มีอยู่ทั่วไปในโลก สิ่งที่เรากลัวในอดีต ที่ราคาหุ้นบางตัวเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ก็จะแก้ที่ต้นแหตุ แต่หากไปมีการแก้ไขดัชนีที่ปลายเหตุ ที่มีคนใช้อยู่เยอะจะไปกระทบในวงกว้าง เราจึงมามองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ตรงความต้องการของนักลงทุนแทน” นายภากร กล่าว

ส่วนกรณีที่นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา นับว่ามากผิดปกติ ขณะนี้ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีความผันผวนมาก หลังจากธนาคารหลางหลายประเทศออกมาให้ข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินและนโยบายทางการคลังต่างๆ รวม ถึงภาพรวมเศรษฐกิจ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทิศทางการไหลเข้าและไหลออกของเงินทุนต่างชาติมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าหากภาพรวมเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ ก็เชื่อว่าทิศทางเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น

ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 มีผู้เปิดบัญชีแล้วกว่า 400,000-500,000 บัญชี จากปีก่อนทั้งปีมีการเปิดบัญชีเพิ่มขึ้นราว 800,000 บัญชี เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้มีการเปิดบัญชีใหม่เฉลี่ยปีละ 300,000-400,000 บัญชี โดยมองว่าหลังจากที่เปิดให้สามารถลงทะเบียนเพื่อเปิดบัญชีผ่านระบบออนไลน์ และการนำเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่มีการกระจายหุ้นให้แก่นักลงทุนรายย่อยมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้เข้ามาเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีบัญชีทั้งหมด 4.2 ล้านบัญชี

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 6 พ.ค.2564 ดัชนีดีดกลับขึ้นแรง ปิดที่ระดับ 1,571.91 จุด เพิ่มขึ้น+22.69 จุด หรือ+1.46% มูลค่าการซื้อขายรวม  91,321.21 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อ 1,177.76 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท  โดยมีหุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA  ซื้อขายสูงสุดของวันถึง 4,644 ล้านบาท และราคาดีดกลับแรงปิดที่ 367 บาท พุ่งขึ้น  52 บาท หรือ 16.51% จากวันก่อนหน้าร่วงลงแรง 11%  เนื่องจากหุ้นไม่หลุดออกจากการคำนวณดัชนี 50 อย่างที่กังวลมานาน หลังจากตลาดหลักทรัพย์ประกาศชะลอการใช้เกณฑ์ฟรีโฟลทใหม่ในการคำนวณดัชนี SET 50  และ SET 100  ทำให้นักลงทุนสถาบันไม่ต้องขายหุ้นทิ้ง เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนตามน้ำหนักดัชนีอ้างอิง

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ณ สิ้นเดือนเม.ย. ปิดที่ระดับ 1,583.13 จุด เพิ่มขึ้น 9.2 % จากจากสิ้นปี 2563 เป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ แต่ลดลงเล็กน้อยจากเดือนมี.ค. 2564

ดัชนีหุ้นที่เพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย. เทียบกับสิ้นปีก่อน มาจากราคาหุ้นในหลายอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ส่วนหนึ่งเพราะผลการดำเนินงานดีขึ้นและมีรายได้จากการส่งออกมากขึ้น

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นในเดือนเม.ย. มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 93,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.0% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 4 เดือนแรกมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 96,115 ล้านบาท เพราะมีนักลงทุนเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงบัญชีมีการซื้อขายถี่ขึ้นด้วย ทำให้ผู้ลงทุนในประเทศยังคงมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ 51.6% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด  นับเป็นครั้งแรกที่สูงกว่า 50% ส่วนผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยในเดือนเม.ย.ขายสุทธิ 3,446 ล้านบาท รวม 4 เดือนมากถึง 32,816 ล้านบาท