ASPS คาดโควิดกดหุ้นช่วงสั้นกระทบ 5 กลุ่ม แนะสะสมหุ้นแกร่งรับครึ่งหลังฟื้น

HoonSmart.com>> บล.เอเซีย พลัส มองมาตรการคุม Covid-19 กดดัน SET Index ช่วงสั้น มองลบหุ้น 5 กลุ่มหลังรัฐออกมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาด “โรงหนัง-ร้านอาหาร-ค้าปลีก-นวดสป-ห้าง” หวังวัคซีนเร่งฉีด มาตรการรัฐฯ หนุนครึ่งปีหลังฟื้นตัว ชี้จังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว โอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง CPALL-MAKRO-CRC-SPVI

บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส (ASPS) เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ จะถูกกดดันจากสถานการณ์ COVID-19 หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่(New Case) ยืนเหนือ 2 พันรายติดต่อกัน 4 วัน ล่าสุด เช้านี้ เพิ่มขึ้น 2048 ราย และเสียชีวิต 8 ราย (ผู้ที่ได้รับวัคซีนทั่วประเทศไทยที่ได้รับอย่างน้อยเข็มแรกรวม 1.1 ล้านราย หรือคิดราว 1.61%) ทำให้ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะ กทม.(ราว 50% ของ GDP) มีคำสั่งเข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าอีก หรือ กึ่ง Lockdown อาทิ สั่งปิดเพิ่ม 31 สถานที่ บังคับใส่แมสก์ ฝ่าฝืนมีความผิด ระยะเวลามีผล 26 เม.ย.- 9 พ.ค. 64 รวมเป็นเวลา 14 วัน

พร้อมกันนี้ประเมินผลกระทบการเข้มงวดกิจกรรมเศรษฐกิจในรอบนี้ถือว่ายืดเยื้อมากกว่าก่อนหน้าที่คาด โดยคาดการณ์เศรษฐกิจไทยมีความเป็นไปได้สูงจะเห็นการหดตัว QoQ ของ GDP ปี 2564 รวม 2 ไตรมาสติดต่อกัน และ ASPS มีโอกาส Revise Down คาด GDP Growth ปี 2564 ปัจจุบัน 2.6%yoy ลงในเดือนหน้าหลังประกาศ GDP 1Q64 หลังสภาพัฒน์รายงาน โดยเชื่อว่าหลังจากนนี้จะเห็นกระแสหน่วยงานของรัฐทยอยปรับลด GDP ลงต่ำกว่า 2% (ล่าสุด เริ่มเห็นการปรับลงมาอยู่ที่ 1.5-1.8%yoy)

สำหรับผลกระทบต่อหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด ASPS ประเมิน Sentiment เชิงลบกดดันราคาหุ้นใน 5 กลุ่ม อาทิ กลุ่มโรงภาพยนต์ MAJOR กลุ่มสปา อาทิ SPA ,กลุ่มร้านอาหาร อาทิ M, AU กลุ่มร้านค้าปลีก อาทิ CPALL, BJC

กลุ่มโรงภาพยนต์ ได้แก่ หุ้น MAJOR บริษัทประกาศปิดให้บริการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2564 โดยมีกำหนดระยะเวลา 14 วัน ทั้งหมด 24 สาขา เฉพาะในกรุงเทพ จากทั้งหมด 172 สาขา ASPS ประเมินว่าแม้ว่าสัดส่วนรายได้หนังในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะมีสัดส่วนราว 55% ของรายได้ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามคาดว่าผลกระทบจำกัด เนื่องจากในช่วงระยะเวลา 14 วันที่ประกาศปิดให้บริการชั่วคราว ไม่ได้มีหนังที่มีแนวโน้มทำรายได้สูงเข้าฉาย และเป็นการประหยัดต้นทุนกว่าการเปิดโรงหนังต่อไปในสถานการณ์ที่คนงดทำกิจกรรมนอกบ้าน
กลุ่มค้าปลีก แบ่งเป็น

CRC, BJC, HMPRO, ILM, COM7 และ SPVI ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า แม้รัฐฯยังไม่ประกาศ Lockdown เต็มรูปแบบ แต่เชื่อว่าเริ่มเห็นผลกระทบมากขึ้น จากผู้ติดเชื้อพุ่งสูง โดยประเมินสร้างแรงกดดันต่อ SSSG มากกว่าการระบาดในรอบที่ 2 (ช่วงธ.ค.63) แต่ทั้งนี้ คาดผลกระทบยังอยู่ในระดับน้อยกว่ารอบแรก (ช่วงเม.ย.63) เนื่องจากผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวได้แล้ว

CPALL (7-11, Lotus), BJC (Mini Big C) และ CRC (Family Mart) : กลุ่มร้านสะดวกซื้อ คาดน่าจะรับผลกระทบมากสุดในกลุ่มฯ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เสียเวลาทำการมากสุด (ราว 1 ใน 4 ของการให้บริการปกติ) แม้ส่วนใหญ่ยังเป็นช่วงกลางคืนที่ไม่ใช่รายได้หลัก แต่ประเมินเห็นผลกระทบมากขึ้น เทียบกับการระบาดรอบที่ 2 (ช่วงธ.ค.63) ทั้งนี้ คาดผลกระทบยังอยู่ในระดับน้อยกว่ารอบแรก (ช่วงเม.ย.63) เนื่องจากผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวได้แล้ว

ภาพรวมแม้เห็นผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวต่อกลุ่มฯมากขึ้น คาดกดดันราคาหุ้นค้าปลีกในระยะนี้ แต่ภาพการฟื้นตัวในระยะถัดไปที่คาดหวังได้ใน 2H64 จากความเป็นไปได้การเร่งหาและแจกจ่ายวัคซีน รวมถึง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯ ประเมินเป็นโอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ยังมี Upside อาทิ CPALL ราคาเหมาะสม 74 บาท, MAKRO ราคาเหมาะสม 44 บาท , CRC ราคาเหมาะสม 38 บาท และ Growth Stock หุ้น SPVI ราคาเหมาะสม 6.92 บาท หากราคาหุ้นปรับฐานสะท้อนประเด็นดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม โควิดระบาด มีทั้งกลุ่มหุ้นวิกฤตและโอกาสผสมอยู่ ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ 5 ถึง 23 เม.ย. 63 ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤต COVID-19 ระบาดเป็นระลอกที่ 3 ภาพรวมกดดัน SET Index ปรับตัวลงมาแล้ว 2.7% ขณะที่ปัจจุบันนับตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์เป็นต้นมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเร็วจนทำให้ฝั่งรัฐบาลออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้น และล่าสุดมีการประกาศปิดพื้นที่เสี่ยง 31 แห่งในกรุงเทพฯ ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อภาพรวมตลาดฯ แต่หากพิจารณาเป็นราย Sector จะพบว่ากลับมีทั้งกลุ่มหุ้นที่ Underperform และ Outperform แฝงอยู่ ดังนี้

กลุ่มที่ Underperform ตลาดแนะนำหลีกเลี่ยงช่วงสั้น คือ 4 Sector ที่ปรับตัวลงแรงสุด ในช่วง COVID-19 ระบาดในรอบที่ 3 คือ กลุ่มท่องเที่ยว -9.3%, กลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ -8.5%, กลุ่มขนส่ง -7.5% และกลุ่มรับเหมาฯ -6.1% ซึ่งทั้ง 4 Sector เคยได้รับผลกระทบในช่วง 2Q63 จนผลประกอบการพลิกมาเป็นขาดทุนทั้งสิ้น เชื่อว่าในระยะสั้นยังอยู่ในภาวะที่ผันผวนอยู่

กลุ่มหุ้นที่ Outperform ตลาดได้ดีแฝงอยู่ คือ กลุ่มที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่าง กลุ่มเหล็ก +20.6% (ชอบ TMT), กลุ่มชิ้นส่วน +6.3%, กลุ่มวัสดุ +4.0% (ชอบ SCC), กลุ่มเกษตร +0.1% (ชอบ KSL) และกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็น COVID-19 อย่าง กลุ่มร.พ. +3.9% (ชอบ BDMS), กลุ่มสื่อสาร +1.4% (ชอบ ADVANC) และหุ้นอื่นๆ ชอบ AS