KBANK กำไร 10,627 ลบ.ไตรมาสแรกปีนี้ ลดลง18.45% จาก Q4/63

HoonSmart.com>>ธนาคารกสิกรไทย แจ้งผลงานไตรมาส 1 ปี 64 ออกมาตามคาด พุ่งแรง 44% จากไตรมาสแรกปีก่อน แต่ลดลง 18.45 % จากไตรมาส 4 ปีก่อน เหตุตั้งสำรองเพิ่มขึ้นรับมือโควิดระลอกสาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ  ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 5.73% ตามการขยายสินเชื่อ ส่วนค่าธรรมเนียมลดลงจากความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน คุม NPL นิ่งแถว 4%

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 10,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 3,252 ล้านบาท หรือ 44.10% แต่ลดลงจากไตรมาสก่อน 2,631 ล้านบาท หรือ 19.85% ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2564 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้แรงส่งจากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขาดความต่อเนื่อง แม้จะมีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้า (ไม่รวมทองคำ) ก็เริ่มได้รับอานิสงส์บางส่วนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี 2564 เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน และสถานการณ์ในแต่ละภาคส่วนยังมีความแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศ

สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2564 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2563 ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 23,496 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,857 ล้านบาท หรือ 26.06% หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น  1,530 ล้านบาท หรือ 5.75% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) อยู่ที่ระดับ 3.16% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 414 ล้านบาท หรือ 3.36% ส่วนใหญ่เป็นผลจากความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,129 ล้านบาท หรือ 13.60% ส่วนใหญ่จากค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน ค่าธรรมเนียมรับจากการโอนเงิน และค่าธรรมเนียมรับจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงจำนวน 3,741 ล้านบาท หรือ 18.45% เนื่องจากในไตรมาสก่อน หลัก ๆ มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้า และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.30%

นอกจากนี้ ยังตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสนี้จำนวน 8,650 ล้านบาท แม้ว่าไตรมาส 4 ปี 2563 ธนาคารตั้งสำรองฯ ลดลงหลังจากที่ตั้งในระดับที่สูงในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2563 ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ที่แพร่ระบาดในวงกว้างช่วงปลายไตรมาส 1  รวมทั้งธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ จึงมีสำรองฯ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

สำหรับผลงานที่ดีขึ้นเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563  หลัก ๆ เกิดจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 1,923 ล้านบาท หรือ 19.30% เป็นผลจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to Market) ของสินทรัพย์ทางการเงินตามภาวะตลาด และค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงจำนวน 950 ล้านบาท หรือ 5.44% จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.30% รวมทั้งมีการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 8,650 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 3,222 ล้านบาท หรือ 27.14% โดยยังคงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ของโควิด-19

ณ วันที่ 31 มี.ค. 2564 ธนาคารมีสินทรัพย์รวมจำนวน 3,767,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 จำนวน 108,317 ล้านบาท หรือ 2.96% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนสุทธิ และการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ซึ่งธนาคารมีการติดตามดูแลคุณภาพเงินให้สินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด โดยเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) สิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับ 3.93% ในระดับเดียวกับสิ้นปี 2563 อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับ 153.98% โดยสิ้นปี 2563 อยู่ที่ระดับ 149.19% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินตามหลักเกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 18.44% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่1 อยู่ที่ 15.80%