HoonSmart.com>>ถ้ามีหุ้น 2 ตัวให้เลือก ระหว่างหุ้นเอเชียน อินซูเลเตอร์ (AI) และหุ้น บริษัท เอไอ เอนเนอร์จี (AIE) ซึ่งเป็นหุ้นแม่-ลูก นักลงทุนจะเลือกหุ้นตัวไหน ????
แม่-ลูกคู่นี้ ทำธุรกิจต่างกันโดยสิ้นเชิง …
AI เป็นผู้ผลิตลูกถ้วยไฟฟ้า ที่จับต้องไม่ได้ เพราะอยู่บนเสาไฟฟ้าแรงสูง เป็นเบอร์ 1 ของผู้ผลิตที่กินส่วนแบ่งตลาด 50% ของมูลค่าตลาด
…. ลูกถ้วยไฟฟ้าแหงนหน้ามองบน ดูเหมือนธรรมดา เป็นลูกถ้วยเซรามิค ที่โรงงานเซรามิคไหน ๆ ก็ผลิตได้ หาเป็นเช่นที่คิดไม่
จากคำบอกกล่าวของ “ธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ หรือ AI เล่าให้ฟังว่า ลูกถ้วยไฟฟ้าของ AI มีเทคโนโลยีและวิธีกรรมผลิต ที่มีประสิทธิภาพ ที่ยากต่อการเรียนแบบ ตั้งแต่สูตรการผสมดิน การเผา ของลูกถ้วย ที่แข็งแกร่ง ทนแดด ทนฝน ทนความร้อนได้นับ 10 ปี ด้วยเทคโนฯ-โนว์ฮาว (Know-How ) หรือความรู้ความชำนาญ มากว่า 30 ปี ความสูญเสียของลูกถ้วยที่ผลิตออกมา เพียง 2% จากผลผลิต เทียบกับทั่วโลกเฉลี่ยมีของเสีย 10-15 % ผลของการสูญเสีย ที่ลดลงอย่างหนัก ดันกำไรขั้นต้นที่เคยได้ 40% ถีบขึ้นไปถึง 51%
ที่สำคัญ AI เป็นผู้ผลิตของไทยเพียงรายเดียว ที่ทำลูกถ้วยไฟฟ้าหลากหลาย ราว 20 ชนิด รองรับการไฟฟ้าภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ฉะนั้น AI แทบจะถูกขาดลูกถ้วยไฟฟ้าให้กับทั้ง 2 หน่วยงานนี้
ยังไม่หมด AI ยังมีผลิตภัณฑ์พิเศษ “เคเบิลสเปเซอร์” ชนิดเซรามิกซ์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่ยึดและรองรับสายเคเบิล ไม่ให้หย่อนยาน ที่ติดอยู่บนเสาไฟฟ้าแรงสูง โดยได้สิทธิบัตร แต่ยกให้กับกระทรวงอุตสาหกรรม ผลดีคือ ผู้เข้าประมูลงานกับหน่วยงานไฟฟ้า ต้องได้มาตรฐานนี้ และผลดีต่อ AI คือ ไม่ต้องประมูล เพราะถือว่าเป็น อินโนเวชั่น ไลน์ของ AI ผูกขาดกฟภ.-กฟน. ซึ่งจะได้งานเบื้องต้นทุกครั้ง 30% ของงาน หากไม่มีผู้ผลิตอื่นที่ได้มาตรการของ “เคเบิลสเปเซอร์” งานทั้งหมดจะตกเป็นของ AI แต่เพียงผู้เดียว
อีกขาธุรกิจที่เป็นเสือนอนกินมากว่า 25 ปี คือ บริษัท เอไอ เอนจิเนียริ่ง เซอร์วิส (AIES) บริษัทลูกที่ AI ถือหุ้น 100% ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เช่น สถานีไฟฟ้าย่อย ติดตั้งสายส่งไฟฟ้า เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้นิ่ง ๆ แต่กินยาว ปีที่ผ่านมา สร้างกำไร 25 ล้านบาท ส่วนปี 2564 มองรายได้ไว้ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160% จากปีก่อน
ขาสุดท้ายที่ส่งรายได้ให้ AI เป็นกอบเป็นกำคือ AIE ที่ถือหุ้นอยู่ 61% ด้วยเหตุผลการปรับส่วนผสมของดีเซล B7 เป็น B10 และราคาน้ำมันปาล์มฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดกว่า 1 เท่าตัว ช่วยผลักดันรายได้และกำไร AI ปีนี้เติบโตก้าวกระโดด ซึ่ง บล.เอเชียเวลท์ คาดการณ์กำไรสุทธิโต 153% จาก 746 ล้านบาท ในปีก่อน จากหลักการของรายได้ที่เพิ่มขึ้น 119% เป็น 6,684 ล้านบาท
สิ่งที่ผถห. AI น่าจะได้รับพิเศษคือ ปันผลระหว่างกาล ด้วยเหตุผลว่า การรับปันผลเพิ่มจาก AI หุ้นละ 0.05 บาท หรือกว่า 161 ล้านบาท
มาดูทางด้านบริษัท เอไอ เอนเนอร์จี (AIE) บริษัทลูกที่ AI ถือหุ้น 61.77 % หรือ 3,232 ล้านหุ้น ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม ใช้ผลิตอาหาร และไบโอดีเซล รายใหญ่ของตลาด ปีที่ผ่านมา ได้ผลดีจากราคาปาล์ม ที่ปรับตัวขึ้น ดูจากน้ำมันปาล์มขวด ที่นำมาทอด-ปรุงอาหารตามครัวเรือน จากราคา 29-30 บาท ลอยตัวขึ้นไป 40-43 บาท ไม่นับการปรับคุณภาพน้ำมันดีเซล B7 สู่ B10
นั่นหมายความว่า ต้องใช้ไบโอดีเซลเพิ่ม 3% ไม่นับรวมกรีเซอรีน ที่เป็นผลพลอยได้ของการผลิตไบโอดีเซล จากปาล์ม วันละ 70 ตัน ส่งออกขาย ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ ส่งผลให้ปี 2563 ที่ผ่านมา AIE มีผลประกอบการที่เติบโตขึ้น พลิกจากปี 2562 ซึ่งขาดทุน -156 ล้านบาท ขึ้นมากำไรสุทธิ + 488 ล้านบาท และจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ ถ้าสามารถ คุมสต็อกปาล์มได้ดี คาดการณ์รายได้ปีนี้ 6,000 ล้านบาท กำไร 600-800 ล้านบาท
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษของ AIE คือ การจ่ายปันผลให้ผถห.ครั้งแรก 0.05 บาท พร้อมกับสิ่งที่ AIE ตั้งใจให้ผถห. คือ การแจก AIE-W2 เป็นการชดเชย AIE-W1 ที่เป็นหมัน ในจำนวน AIE-W2 ที่คลอดออกมาทั้งหมด 1,046.45 ล้านหน่วย กว่าครึ่งหรือ 646.40 ล้านหน่วย ที่ AI ในฐานะผู้ถือหุ้น 61% ได้รับจัดสรร จะถูกเก็บไว้ในศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD)
แล้วทำไมต้องฝาก เพราะ AI ไม่มีพอร์ตลงทุน ถามว่ามีผลยังไงกับการฝาก TSD คือ จะขายวอร์แรนต์ได้ ต้องผู้มติคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) และขอมติผถห. ฉะนั้น AIE-W2 เหลือหมุนเวียนในตลาดหุ้นเพียง 400 ล้านหน่วยเศษ เท่านั้น
ธุรกิจ AIE-AI เติบโตดี แล้วช่วงสั้น ๆ หรือปี 2 ปีนี้ จะลงทุนเพิ่มเติมอะไรหรือไม่ จากการสอบถามผู้บริหาร พบว่า ได้ลงทุนเครื่องจักร พัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่เหลือจึงเพียงแค่การเก็บเกี่ยวผลกำไร ที่ช่วยผลักดันให้ 2 แม่-ลูก AI-AIE เติบโต
ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนแล้วล่ะว่า จะเลือกหุ้นปันผล ( AI ) หรือ เติบโตต่อเนื่องอย่าง AIE หรือไม่ยอมเสียหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เลือกทั้ง 2 ตัว !!!!!
