ดาวโจนส์ปิดบวก 199 จุด ยื่นรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลด

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวปิดบวก ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 199 จุด แรงซื้อกลับหุ้นได้ผลดีเปิดเศรษฐกิจ ขานรับยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง ดีกว่านักวิเคราะห์คาด ราคาน้ำมันดิบร่วง 4% ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดไปคนละทิศทาง มีทั้งขึ้นและลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 25 มีนาคม 2564 ปิดที่ 32,619.48 จุด เพิ่มขึ้น 199.42 จุด หรือ 0.62% ฟื้นตัวจากที่ร่วงลงไปสองวันก่อนหน้า เป็นผลจากข้อมูลเศรษฐกิจที่

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,909.52 จุด เพิ่มขึ้น 20.38 จุด, +0.52%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,977.68 จุด เพิ่มขึ้น 15.79 จุด, +0.12%

หุ้นที่จะได้รับผลดีจากการเปิดเศรษฐกิจได้สำเร็จนำการปรับขึ้นของตลาด โดยหุ้นอเมริกันแอร์ไลน์และหุ้นยูไนเต็ดแอร์ไลน์ต่างเพิ่มขึ้นกว่า 4% หุ้นคาร์นิวาล หุ้นนอร์วีเจียนต่างเพิ่มขึ้นกว่า 2% หุ้นโบอิ้งเพิ่มขึ้น 3.3%

นักลงทุนขานรับการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ดีกว่าคาด โดยกระทรวงแรงงานเผย ว่าการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ก่อนสิ้นสุดวันที่ 20 มีนาคม ลดลงสู่ระดับ 684,000 รายต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว และต่ำกว่า 735,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

นักวิเคราะห์จาก E-Trade ระบุว่า สัญญานความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจากข้อมูลการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก อาจจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาด เพราะหากยังคงแข็งแกร่งก็อาจจะเป็นแรงกดดันต่อหุ้นและทำให้ธนาคารกลางทบทวนนโยบายการเงินที่ผ่อนปรน

นอกจากนี้การเติบโตที่แท้จริงของ GDP (หักเงินเฟ้อ) ในไตรมาส 4มีการปรับใหม่เป็นขยายตัว 4.3% จากระยะเดียวกันของปีก่อนซึ่งดีกว่าประมาณการคครั้งก่อนและดีกว่า 4.1% ที่ตลาดคาด การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Personal Consumption Expenditures:PCE) ในไตรมาส 4 ปรับเพิ่มขึ้นเป็นขยายตัว 2.3% จากระยะเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจาก 2.4% ประมาณการเดิม

การปรับประมาณการ GDP เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการปรับคาดการณ์การลงทุนในสินคาคงคลังของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น รวมทั้งการส่งออก การลงทุนถาวรที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย รายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล การลงทุนถาวรในที่อยู่อาศัย

ราคาน้ำมันดิบลดลงกว่า 4% จากความกังวลต่อความต้องการหลังมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมร่วงลง 2.62 ดอลลาร์ หรือ 4.3% ปิดที่ 58.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมดิ่งลง 2.46 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 61.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาที่ 1.64%

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น จากรายงานว่า ธนาคารกลางมีแผนที่จะยกเลิกการควบคุมการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนของธนาคารพาณิชย์ โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 0.48% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก เพิ่มขึ้น 3.10% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 2.06% หุ้นเจพีมอร์แกน เพิ่มขึ้น 1.28% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้น 1.02%

หุ้นไนกี้ลดลง 3.44% และหุ้นอดิดาสลดลง 6.10% จากกระแสบอยคอตสินค้าไนกี้และอดิดาสในประเทศจีน เพราะทั้งสองบริษัทได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน จากกรณีชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงถูกบังคับให้ทำงานเก็บฝ้าย และประกาศว่าจะไม่ใช้ฝ้ายจากมณฑลซินเจียงในการผลิตสินค้า

ปัจจุบันฝ้ายจากซินเจียงมีสัดส่วน 20% ในสินค้าสิ่งทอที่จำหน่ายทั่วโลก นอกจากนี้ยอดขายในจีนมีสัดส่วนถึง 20% ของยอดขายรวมของไนกี้

ตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งบวกและลบ นำโดยกลุ่มน้ำมันและแก๊สที่ลดลง 2% นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งกังวลต่อความเห็นของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ

ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าว NPR นายพาวเวลล์ ส่งสัญญานความเป็นไปได้ในการยกเลิกนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย แต่ย้ำว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฉีดวัคซีนทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าคาด

นักลงทุนยังจับตาการประชุมผู้นำยุโรปเพื่อประเมินสถานการณ์การระบาดและความล่าช้าของการฉีดวัคซีน โดยอาจจะมีการลดการส่งออกวัคซีนออกจากสหภาพยุโรป

ดัชนี Stoxx 600 ปิดที่ 423.08 จุด ลดลง 0.31 จุด, -0.07%

ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,674.83 จุด ลดลง 38.06 จุด, -0.57%

ดัชนี CAC 40 ปิดที่ 5,952.41 จุด เพิ่มขึ้น 5.12 จุด, +0.09%

ดัชนี DAX ปิดที่ 14,621.36 จุด เพิ่มขึ้น 10.97 จุด, +0.08%

 
 
อ่านข่าว

ราคาน้ำมันดิบร่วงกว่า 4% วิตกล็อกดาวน์ยุโรป