HoonSmart.com>> “เครือไทย โฮลดิ้งส์” กางแผนธุรกิจประกันและการเงิน ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 6 กลยุทธ์ นำเสนอและพัฒนาระบบอีโคซิสเต็มได้อย่างครบรอบด้านทั้งบริการและผลิตภัณฑ์สู่แพลตฟอร์มดิจิทัล พร้อมปรับโครงสร้างองค์กรรับโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุด ให้ผลลัพธ์ที่ออกมามีความสอดคล้องไปกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ มุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจการเงินในประเทศไทย และขยายไปยังภูมิภาคอาเซียนภายในปี 68
นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ (TGH) เปิดเผยว่า ในรอบกว่า 1 ปีที่ผ่านมาภายใต้วิกฤติการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกยังต้องเผชิญกับความผันผวนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นเดียวกับบริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ ที่ดำเนินธุรกิจด้านประกันและการเงิน
บริษัทในกลุ่มประกอบด้วย อาคเนย์ประกันภัย อาคเนย์ประกันชีวิต อาคเนย์แคปปิตอล อาคเนย์มันนี่ และไทยประกันภัย ก็ได้รับผลกระทบและต้องปรับตัวสู่ยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบ New Normal จึงต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ที่ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าให้มากที่สุด ด้วย 6 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ 1. การมุ่งสร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็ง ผ่านการปรับพอร์ตธุรกิจประกันชีวิต, 2. สร้างประการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ, 3. สร้างประสบการณ์ที่ดีของพนักงานด้วยการพัฒนาทักษะและสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน , 4. พัฒนาการใช้งานบิ๊กดาต้า เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค, 5. สร้างกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีและ 6. ปรับโครงสร้างองค์กรรับโมเดลธุรกิจใหม่
“จาก 6 กลยุทธ์ เพื่อสร้างความเติบโตและมั่นคงทางธุรกิจแบบรอบด้าน บริษัทยังตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะช่วยให้คนไทยและครอบครัวของพวกเขาใช้ชีวิตหรือดำเนินธุรกิจอย่างมีความสุข ปราศจากความกังวลใจ ผ่านนวัตกรรมทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่การเป็น “Financial as A Service” ของคนไทย ในขณะที่ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปตามพฤติกรรมของลูกค้า ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า เราจึงมุ่งเน้นในเรื่องเทคโนโลยีและข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ ตรงใจ เข้าถึงได้ง่าย คุ้มค่าเงิน และส่งมอบบริการแบบเทสุดใจ เพื่อให้ลูกค้ามีความสุข” นายฐากรกล่าว
สำหรับเป้าหมายการขยายตลาด นายฐากร กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต จะมุ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างโดยใช้ดิจิทัลและดาต้าขยายฐานลูกค้าใหม่จากปัจจุบันที่มีลูกค้าอยู่ประมาณ 4 ล้านราย ตลอดจนสร้างการรับรู้ของแบรนด์อาคเนย์ประกันภัย อาคเนย์ประกันชีวิต ผ่าน Winning Product และการดูแลลูกค้าให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไร้ความกังวลใจ ขณะที่ธุรกิจการเงินจะเน้นสร้างประสิทธิภาพ ลดต้นทุน สร้างกำไร พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐานและหาพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี โดยมั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจในภาพรวมให้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของตลาด เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจการเงินในประเทศไทยและขยายการให้บริการไปยังภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2568
“ประเทศไทยกำลังปลดล็อกก้าวสู่การทำธุรกิจประกันและการเงินบนโลกดิจิทัลได้อย่างแท้จริง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับตัวสู่การดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ ตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น เราไม่สามารถดำเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการผ่านการใช้ Data Analytics เพราะธุรกิจประกันมี Big Data ดังนั้น สิ่งที่ Thai Group จะทำคือการนำข้อมูลที่มีในระบบมาเชื่อมต่อกันเพื่อทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์และบริการ สามารถดูแลลูกค้าได้อย่างเข้าใจ และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพไร้รอยต่อและครบทุกบริการ เพื่อให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในทุกที่ที่เชื่อมต่อไปยังลูกค้าเป้าหมายใน Ecosystems ได้อย่างยั่งยืน” นายฐากร กล่า
ทั้งนี้ อาคเนย์ประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับรวมปี 2563 คือ 8,345 ล้านบาท คิดเป็นอันดับทางธุรกิจ อันดับ 9 มีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่96 %สูงกว่าอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 82% ด้านอาคเนย์ประกันภัย มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงปี 2563 คือ 10,556 ล้านบาท คิดเป็นอันดับทางธุรกิจ อันดับ 6 ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ร้อยละ 4.1 ขณะที่ไทยประกันภัย มีการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยนวัตกรรมประกันภัยที่ทันสมัย มีเบี้ยประกันภัยรับตรงจำนวน 1,321 ล้านบาท และมีสัดส่วนเบี้ยออนไลน์ 332 ล้านบาท คิดเป็น 25% จากเบี้ยประกันภัยรับตรง สำหรับอาคเนย์แคปปิตอล ครองความเป็นผู้นำรถเช่าอันดับ 1 ในปี 2563 ด้วยรถจำนวน 22,100 คัน โดยมีลูกค้าภาครัฐ 50% ลูกค้านอกกลุ่มทีซีซี 30% และลูกค้ากลุ่มทีซีซี 20 %