ทริสคงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ BAM ระดับ A- แนวโน้ม Stable

HoonSmart.com>> “ทริสเรทติ้ง” คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์” ที่ A- พร้อมจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท ที่ A- แนวโน้ม Stable สะท้อนผู้นำตลาดบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ

บริษัท ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) ที่ระดับ A- ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 9 ปี ที่ระดับ A- ด้วยเช่นกัน โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความชำนาญและความเป็นผู้นำในตลาดบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระดับการก่อหนี้และความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับปานกลาง รวมถึงการกระจายตัวที่ดีของแหล่งเงินทุนด้วย

จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งโดยหลักคือความเสี่ยงในด้านการกำหนดราคาซื้อสินทรัพย์ ความเสี่ยงระดับมหภาค และการกระจุกตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเชี่ยวชาญของบริษัทในการตั้งราคาซื้อและการกระจายตัวของประเภทสินทรัพย์และสถานที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์จะช่วยลดทอนความเสี่ยงดังกล่าวลงได้มาก

อันดับเครดิตของบริษัทมาจากการที่บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งจากการเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความเชี่ยวชาญในด้านสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สถานะความเป็นผู้นำทางการตลาดนั้นยังมาจากปัจจัยเกื้อหนุนจากการมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจและเงินทุนกับธนาคารที่หลากหลายและยาวนาน

บริษัทยังมีประสบการณ์ที่ยาวนานและมีฐานข้อมูลที่กว้างขวางซึ่งช่วยทำให้บริษัทสามารถเลือกสินทรัพย์ได้ดีในราคาที่เหมาะสม ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งหมดอยู่ที่ 1.32 แสนล้านบาท คิดเป็น 54% ของส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อเทียบกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งหมดในประเทศไทย โดยสินทรัพย์ที่บริษัทบริหารประกอบไปด้วย เงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ (NPLs) 8.59 หมื่นล้านบาท สินทรัพย์รอการขาย (NPAs) 3.66 หมื่นล้านบาท และลูกหนี้ขายผ่อนชำระ 2.5 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะขยายเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ในระดับประมาณปีละ 3%

นอกจากนี้บริษัทมีหนี้อยู่ในระดับปานกลางเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น โดย ณ สิ้นเดือนธ.ค.2563 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.16 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.91 เท่าในปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะคงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับที่ต่ำกว่า 2.50 เท่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้าและอัตราการก่อหนี้ของบริษัทยังอยู่ภายใต้การควบคุมของข้อกำหนดจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ให้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับที่ต่ำกว่า 3.0 เท่าอีกด้วย นอกจากนี้ เงินสดจัดเก็บประมาณ 1.4-1.7 หมื่นล้านบาทต่อปีจะช่วยคุมอัตราดังกล่าวไว้ได้จากการที่เงินรับดังกล่าวจะสามารถนำไปซื้อสินทรัพย์ใหม่และลดภาระในการก่อหนี้ใหม่ได้บางส่วน

สำหรับผลประกอบการคาดว่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ในปี 2563 รายได้ของบริษัทได้รับผลกระทบจะการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) การจำกัดการประกอบธุรกิจและการเดินทาง รวมถึงการหยุดทำการของกรมบังคับคดีในช่วงเดือน เม.ย.- พ.ค.2563 ทำให้การจำหน่ายสินทรัพย์รอการขายและธุรกรรมต่าง ๆ ของการบริหารจัดการลูกหนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงเดือนเม.ย.- ส.ค.2563 สืบเนื่องจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ จากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทมีรายได้และเงินสดจัดเก็บลดลงในปี 2563 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถจัดเก็บเงินสดได้ 1.31 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าระดับปกติเล็กน้อยที่ 1.4-1.7 หมื่นล้านบาทในปี 2559-2561

ในปี 2563 รายได้จากการบริหารจัดการลูกหนี้ (รายได้ดอกเบี้ยและกำไรเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้) ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับลดลง 47% มาอยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท นอกจากผลกระทบจากโรคโควิด 19 แล้ว รายได้ที่ลดลงจำนวนมากนั้นเกิดจากธุรกรรมขนาดใหญ่มูลค่า 5.3 พันล้านบาทในปี 2562 ถ้าไม่รวมธุรกรรมดังกล่าว รายได้จากการบริหารจัดการลูกหนี้ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับจะลดลง 19% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้จากสินทรัพย์รอการขาย (กำไรจากสินทรัพย์รอการขาย และดอกเบี้ยและกำไรจากการขายแบบผ่อนชำระ) ลดลง 19% มาอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว จากการที่รายได้ของบริษัทเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 โดยเฉพาะในส่วนของสินทรัพย์รอการขายที่ปรับเพิ่มขึ้นจากกลยุทธ์ด้านราคาและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ ที่บริษัทนำมาใช้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการปรับตัวที่ดีขึ้นจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องในปี 2564 จากการที่โครงการช่วยเหลือลูกหนี้และมาตรการการจำกัดการประกอบธุรกิจและการเดินทางได้สิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม รายได้และเงินสดจัดเก็บจากการบริหารจัดการลูกหนี้คงจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีเพื่อที่จะสามารถกลับไปสู่ระดับปกติได้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบางอยู่ ในด้านสินทรัพย์รอการขาย ทริสเรทติ้งคาดว่าการขายจะปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์ที่คลี่คลายขึ้นทำให้นักลงทุนพร้อมที่จะลงทุนและรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นได้

นอกจากนี้บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่มั่นคงและกระจายตัวจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนาคารที่ขายลูกหนี้ด้อยคุณภาพให้แก่บริษัท แม้ว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทจะมีสภาพคล่องที่ต่ำ แต่เงินกู้ยืมส่วนใหญ่ของบริษัทก็เป็นเงินกู้ยืมระยะยาว บริษัทมีวงเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 4.5 หมื่นล้านบาทจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ณ เดือนธันวาคม 2563 ตั๋วสัญญาใช้เงินคงค้างของบริษัทมีมูลค่าคงเหลืออยู่ที่ประมาณ 5.5 พันล้านบาท บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวนประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 68% ของวงเงินดังกล่าวเป็นวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้ นอกจากนี้ บริษัทยังเข้าถึงตลาดทุนโดยการออกจำหน่ายหุ้นกู้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดย ณ เดือนธันวาคม 2563 บริษัทมีมูลค่าหุ้นกู้คงค้างอยู่ที่ 7 หมื่นล้านบาท

ด้านสภาพคล่องเพียงพอ ณ เดือนธ.ค.2563 บริษัทมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 7.6 พันล้านบาทที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารต่าง ๆ บริษัทไม่มีประเด็นที่น่ากังวลอย่างมีนัยสำคัญต่อความไม่สอดคล้องกันของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สิน ณ เดือนธ.ค.2563 เงินกู้ยืมของบริษัทเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวประมาน 97% ซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาน 6 ปีโดยเทียบกับอายุเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่ 6-8 ปี บริษัทมีเงินกู้ยืมที่จะครบกำหนดชำระในปี 2564 อยู่ที่ประมาน 1.3 หมื่นล้านบาท โดย 4 พันล้านบาทเป็นหุ้นกู้ ซึ่งคาดว่าจะจ่ายชำระคืนโดยใช้กระแสเงินสดที่ได้รับจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายรวมไปถึงการออกหุ้นกู้ชุดใหม่

บริษัทมีความเสี่ยงในด้านการกระจุกตัวที่ค่อนข้างมากในภาคอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันในลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่บริษัทลงทุน ดังนั้น สภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์จึงอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลประกอบการทางการเงินของบริษัทเนื่องจากจะส่งผลต่อราคาและความสามารถในการขายอสังหาริมสินทรัพย์ที่บริษัทได้บังคับหลักประกันมา

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการกระจายตัวของสินทรัพย์ทั้งในด้านประเภทของหลักทรัพย์และสถานที่ตั้งจะช่วยลดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง ณ เดือนธ.ค.2563 อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเมื่อพิจารณาจากต้นทุนคิดเป็นที่ดินเปล่าที่สัดส่วน 22% บ้านเดี่ยว 33% ในขณะที่ส่วนที่เหลือมีการกระจายตัวที่ดีในอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ในด้านสถานที่ตั้งนั้น อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในสัดส่วน 44% ในเขตภาคกลาง 17% และส่วนที่เหลือกระจายไปตามภาคต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังมีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ทุก ๆ ปี เพื่อช่วยให้บริษัทตั้งราคาขายสินทรัพย์ได้ใกล้เคียงกับราคาตลาดมากที่สุดด้วย

ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสร้างโอกาสให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งหลายในการได้มาซึ่งสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จำนวนผู้ประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 38 ราย ณ สิ้นปี 2558 เป็น 54 รายในปี 2563 โดยสินทรัพย์รวมของบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งหมดนั้นเติบโตขึ้นในอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นที่ระดับ 9.69% ในช่วงระหว่างปี 2559-2563 การระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยและทำให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากสถาบันการเงิน ซึ่งประกอบไปด้วยธนาคารพานิชย์ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงบริษัทเงินทุน เพิ่มขึ้นจาก 4.65 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 เป็น 5.23 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 โดยอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.98% ณ สิ้นปี 2562 เป็น 3.12% ณ สิ้นปี 2563 ถึงแม้ว่าแนวคิดโกดังพักหนี้ หรือ Asset Warehousing จะทำให้ปริมาณสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งคาดว่าจะถูกจำหน่ายออกมานั้นปรับลดลง แต่ทริสเรทติ้งยังคงคาดว่าผู้ประกอบการในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ยังคงมีโอกาสอีกมากในการขยายสินทรัพย์ของตนเอง