TACC รุกแตกไลน์-ต่อยอดธุรกิจ เพิ่มศักยภาพทำกำไรโดดเด่น

HoonSmart.com>>TACC รุกแตกไลน์-ต่อยอดธุรกิจ จับมือ “ไทยคานาเทคฯ ” ศึกษา-พัฒนากัญชง เพิ่มศักยภาพทำกำไรโดดเด่น

ชัชชวี วัฒนสุข

ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและยังไม่มีปัจจัยเชิงบวกที่จะช่วยสนับสนุนให้การฟื้นตัวเกิดขึ้นได้ในเร็ววันนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจะต้องหาช่องทางสร้างรายได้กำไรเพิ่มขึ้น เพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้ ซึ่งการแตกไลน์และต่อยอดธุรกิจ โดยผนึกพันธมิตร จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารผลักดันการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

การที่ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC)  ดำเนินธุรกิจจัดหา ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และสินค้าไลฟ์สไตล์ ซึ่งการที่ TACC ประกาศเข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท ไทยคานาเทค อินโนเวชั่น (TCI) เข้าถือหุ้น 30% เพื่อศึกษา และพัฒนาการนำกัญชง-กัญชา มาใช้ในเชิงอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเชิงพาณิชย์ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยต่อยอดธุรกิจเดิมได้ และสามารถเป็นช่องทางการเพิ่มความสามารถการทำกำไรในอนาคตได้เป็นอย่างดี

“ชัชชวี วัฒนสุข” ประธานกรรมการบริหาร  TACC กล่าวว่า กระแสของผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD ที่มี THC น้อยกว่า 0.02% ซึ่งได้ถูกปลดล็อคจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 424) พ.ศ.2564 ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ซึ่งถือว่าเป็น Mega Trend ของธุรกิจ Health and wellness และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคในหลายประเทศ

“บริษัทฯเล็งเห็นศักยภาพของผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD จึงเข้าสู่กรอบการร่วมมือในครั้งนี้ โดยจะร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร CBD ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อออกสู่ตลาด โดยจะใช้สาร CBD ที่ปลูกและสกัดจากความร่วมมือของบริษัท ไทย คานาเทค อินโนเวชั่น จำกัด และ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร. พระนคร เป็นการต่อยอดธุรกิจในเชิงพาณิชย์ พัฒนาและนำผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่เพื่อเตรียมเข้าสู่ตลาด ซึ่งจะถือได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญที่ TACC เข้าไปสู่ผู้เล่นในตลาด Health and wellness อย่างเต็มตัว”

ขณะที่ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯได้ตั้งเป้าที่จะออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2564 คาดว่าจะออกสินค้าใหม่ 4 รายการ และการซื้อลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์มาบริหาร คาดว่าจะมีอย่างน้อย 1 รายการ หลังจากล่าสุดบริษัทได้ซื้อและเปิดตัว “Jay The Rabbit” ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้รายได้ปีนี้เติบโตประมาณ 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,318.73 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนจะร่วมมือด้านการค้ากับพันธมิตรหลัก เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายใน Lotus’s go fresh ที่มีอยู่กว่า 1,600 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงบริษัทยังมองหาโอกาสใหม่ๆในการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจต่อไป

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า TACC กำลังจะรุกคืบไปยังธุรกิจ Health and wellness อย่างชัดเจน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสการเติบโตในอนาคต และจากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ พบว่า การที่ TACC เข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรน่าจะมีส่วนช่วยให้ศักยภาพในการทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างแน่นอน

โดย บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกต่อจากการเข้าไปร่วมเป็น partner ที่สามารถทำได้ตั้งแต่ ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถควบคุมการผลิตได้ดี ซึ่งบริษัท TCI มีจุดเด่นในเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกัญชา-กัญชง มากกว่า 10 ปี และมีใบอนุญาตในการปลูกรวมถึงใบอนุญาติสกัดสาร CBD และจำหน่ายกัญชา-กัญชง เชิงพาณิชย์ โดย TACC ต้องขอใบอนุญาติผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมกัญชง-กัญชา เพิ่มเติมเท่านั้น และหากผ่านเกณฑ์ อย. คาดจะสามารถผลิตจำหน่ายได้ในครึ่งหลังของปีนี้

ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวถือเป็น upside ต่อประมาณการกำไรปี 2564 โดยเฉพาะ gross profit margin ที่มีแนวโน้มที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 35% และมีแนวโน้มปรับกำไรสุทธิปีนี้ขึ้น หากมีความชัดเจนดีล M&A โดยในไตรมาสแรกปีนี้ จะมีปัจจัยบวกจากความชัดเจนดีล M&A ซึ่งคาดจะเป็นบริษัทที่เข้ามาช่วยหนุนประสิทธิภาพในการผลิตกลุ่มเครื่องดื่ม และหากดีลสำเร็จ จะสามารถรับรู้รายได้ได้ทันทีในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุน gross profit margin ให้อยู่ในระดับสูง

ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 11.60 บาท อิง 2564 PER ที่ 21.6 เท่า โดยฝ่ายวิจัยมองว่าราคาหุ้น TACC ไม่ควรเทรดที่ discount valuation เหมือนช่วงปี 2561 ที่มีปัจจัยลบภาษีน้ำตาลและหยุดขายชาขวดในกัมพูชา ขณะที่ครึ่งหลังปีนี้ยังมีปัจจัยหนุนทั้งเรื่อง ดีล M&A, TESCO, การขยายตลาดการ์ตูนลิขสิทธิ์ และเครื่องดื่มกันชง ทำให้เชื่อว่าราคาหุ้นควรกลับไปเทรดที่อย่างน้อยเท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปีเฉลี่ย PER ที่ 30 เท่า

สอดรับกับ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อกรณี TACC ได้เข้าถือหุ้น 33% ในบริษัท TCI ขณะที่ TCI ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOA) คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร. พระนคร สำหรับความร่วมมือทางวิชาการวิจัย โดยทาง TACC อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ในการที่จะผลิตสินค้ากัญชงในครึ่งหลังปีนี้

ทั้งนี้ มองเป็นอีกช่องทางการขยายธุรกิจในระยะยาวไปสู่ตลาดสินค้า Health and wellness ที่ใช้สาร CBD เป็นส่วนประกอบจากที่ปัจจุบันรายได้มากกว่า 98% อิงกับธุรกิจเครื่องดื่ม ขณะที่ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ยังต้องรอความชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากอิงจากสมมติฐานรายได้เกี่ยวกับดีลที่คล้ายกันก่อนหน้า คาด upside สูงสุดที่จะได้จากดีลนี้คือกำไรส่วนเพิ่ม 20 ล้านบาทต่อปี (+8% ของกำไรปี 2565) และราคาเป้าหมายส่วนเพิ่มราว 1.3 บาทต่อหุ้น

จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นว่า TACC อยู่ในช่วงขาขึ้น การเติบโตอย่างโดดเด่นจะกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากธุรกิจเดิมในปัจจุบันสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี และเน้นสินค้าที่มีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่เดินหน้าจับมือกันพันธมิตรที่มีช่องทางการจำหน่ายอย่างครอบคลุมหลากหลาย และเมื่อมีการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ ก็น่าจะสนับสนุนศักยภาพการทำกำไรเพิ่มขึ้น สร้างมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น ตลอดจนการให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่องนับจากนี้ไป