โพลล์ชี้ตลาด “ร้อนแรง” เชียร์หุ้นท่องเที่ยว

HoonSmart.com>>ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีก 3 เดือนข้างหน้า “ร้อนแรงต่อ” ไทยได้วัคซีนล็อตแรก ตลาดหุ้น 4 มี.ค.ลดลงทั่วโลก บอนด์ยีลด์กลับมาเพิ่มขึ้น  ไทยติดลบ 9 จุด ดีกว่าเอเชีย ต่างชาติซื้อต่อ 722 ล้าน บล.หยวนต้าแนะหุ้นพลังงาน-ขนส่ง ซื้อหุ้นเด่น III-JWD-IRPC-TOP

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือน ก.พ.2564 พบว่า ดัชนีในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 152.19 เพิ่มขึ้น 14.8% จากเดือนก่อน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” กลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”

นักลงทุนคาดหวังการคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 จากการที่ไทยได้รับวัคซีนล็อตแรกเป็นปัจจัยบวกมากที่สุด รองลงมาคือการไหลเข้าของเงินทุน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 4 มี.ค. 2564 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,534.11 จุด -9.29 จุด หรือ -0.60% มูลค่าการซื้อขาย 108,854.87 ล้านบาท  ทั้งนี้ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดเอเชียหลายแห่งที่ร่วงลง 1-2% ตลาดยุโรปและดาวโจนส์ล่วงหน้าก็ลดลง

ด้านนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นต่อเล็กน้อย 722.79 ล้านบาท รายย่อยซื้อด้วย 809 ล้านบาท  ส่วนสถาบันพลิกมาขาย 867.93 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 663.99 ล้านบาท  จากวันก่อนซื้อมากกว่า 2,000 ล้านบาท

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า  หุ้นลงพักฐานจากวันก่อนขึ้นมากถึง 40 จุด สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย  เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรกลับมาที่ปรับตัวขึ้น ทำให้เม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง และรอผลสรุปการประชุมโอเปกพลัส ในคืนนี้

ส่วนแนวโน้มตลาดวันที่ 5 มี.ค.คาดดัชนีจะแกว่งตัว มีแนวที่ 1,530 จุด และถัดไป 1,525 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,540 จุด และต้านถัดไปที่ 1,550 จุด โดยกลุ่มพลังงาน และกลุ่มขนส่งจะกลับมาปรับตัวได้ดีขึ้น แนะนำหุ้น III ,JWD ,IRPC และ TOP ซึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามต่อคือประชุมเฟด และการผลักดันเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯว่าจะออกมาได้เร็วแค่ไหน