“อิทธิพัทธ์” แบ่งรับแบ่งสู้ขายหุ้น TKN ยันตอนนี้ยังเป็นเจ้าของเถ้าแก่น้อยอยู่

HoonSmart.com>>”อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะขายหุ้นให้กับบริษัทต่างชาติเพื่อออกจาก TKN ว่า จริงๆ ยังไม่มีอะไรที่เป็นข่าวขนาดนั้น ผมยังเป็นคนของเถ้าแก่น้อย เถ้าแก่น้อยยังเป็นของผมอยู่ ผมคงบอกชัดเจนได้ประมาณนี้

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์

ส่วนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 “อิทธิพัทธ์”  คาดว่ายอดขายในครึ่งปีแรกจะไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนมียอดขายทั้งหมด 3,989 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ประมาณ 5,000-5,200 ล้านบาท แม้ว่ายังมีความท้าทายในหลายเรื่องก็ตาม ยอดขายในประเทศในไตรมาส 1-2 ยังคงชะลอตัว ส่วนต่างประเทศค่อยๆ กลับมาดีขึ้น ตลาดสหรัฐมีแนวโน้มโตต่อเดือน ม.ค. และก.พ. ออร์เดอร์เข้ามาค่อนข้างดีกว่าไตรมาสแรกปีก่อน แต่ยังมีการติดขัดส่งออก และต้นทุนในการส่งออกต่อตู้คอนเทนเนอร์สูงขึ้น

ขณะเดียวกันก็เห็นโอกาสทางธุรกิจ จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ตลาดมากขึ้น คาดว่าในครึ่งปีแรกจะออกสินค้าใหม่ประมาณ 3 ผลิตภัณฑ์ และธุรกิจเครื่องดื่มจะออกเพิ่มอีก 1 ผลิตภัณฑ์ในเดือน มิ.ย. จากปีก่อนที่ออกเครื่องดื่มชานม ไต้หวันไป ปัจจุบันมีการกระจายสู่ร้าน 7-11 กว่า 12,000 สาขา ตอนนี้ออร์เดอร์เข้ามาค่อนข้างแข็งแรงมาก คาดเฉลี่ยขายได้เดือนละ 2 ล้านขวดขึ้นไป มีการพัฒนาต่อยอดส่งไปตลาดต่างประเทศ ทั้งใน CLMV ,อินโดนีเซีย ,สิงคโปร์ และมาเลเซีย และจะมีการพัฒนาชานมรสชาดใหม่

นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะเปิดเผยข้อมูล ความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ที่มีความชำนาญในธุรกิจที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-Based Food) โดยคาดว่าจะประกาศความร่วมมือในออกผลิตภัณฑ์ขนมโปรตีนจากพืช (Plant-Based Snack) ในเร็วๆนี้ รวมถึงบริษัทยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่นำกัญชงและกัญชา มาผลิตสินค้าออกสู่ตลาดด้วย

ส่วนธุรกิจในต่างประเทศ ที่ประเทศสหรัฐฯ บริษัทปิดโรงงานสาหร่ายอบไป ทำให้ต้นทุนการผลิตดีขึ้น เปลี่ยนไปจ้างผู้ที่รับผลิตแทน โดยยอดขายยังมีการเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง ส่วนประเทศจีน บริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 2 สินค้า ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งเสริมยอดขายของประเทศจีนให้ดีขึ้น

ด้านกรณีปัญญหาตู้คอนเทรนเนอร์ขาดแคลน กระทบต่อการขนส่งสินค้าไปตลาดต่างประเทศ ทั้งสหรัฐและจีนนั้น บริษัทมองว่าในช่วงไตรมาส 2 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยบริษัทจะพยายามควบคุมต้นทุนต่อตู้คอนเทรนเนอร์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้

สำหรับการรวมโรงงานผลิตเป็นโรงงานโรจนะเพียงแห่งเดียว  จะได้ผลตอบรับเชิงบวกจากการบริหารจัดการการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และให้สอดคล้องกับความต้องการมากขึ้น เพื่อควบคุมต้นทุนการผลิตให้ดีขึ้น รวมถึงจะได้การยกเว้นภาษีจากสินค้าบางชนิด ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ขึ้นไป  โดยรวมปีนี้อยู่ที่ 30% จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 25.7%และจะมีอัตรากำไรสุทธิที่ 10%  เทียบกับข้อมูลที่ให้นักวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 12-14%