CGD มั่นใจปี 64 พลิกกำไร เตรียมรับรู้รายได้โฟร์ซีซั่นส์ฯ 1.6 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>> “คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์” กางหมุดปี 64 ธุรกิจสดใส ผลประกอบการปรับตัวดีและกลับมามีกำไร หลังบริหารจัดการเคลียร์หนี้เสร็จสิ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง ฟากซีอีโอ “เบน เตชะอุบล” ลั่นจากนี้เติบโตอย่างมั่นคง ปัจจุบันมีสินทรัพย์ พร้อมโอนและรับรู้รายได้ ทันทีกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท “โครงการโฟร์ซีซั่นส์ไพรเวทเรสซิเดนซ์”

เบน เตชะอุบล

นายเบน เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) ผู้พัฒนาโครงการ “เจ้าพระยา เอสเตท” โครงการมิกส์ยูสที่มีทั้งคอนโดมิเนียมและโรงแรมระดับ 5 ดาวสองแห่ง มูลค่าโครงการรวมกว่า 32,000 ล้านบาท เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 จะกลับมีทิศทางที่ดีจากปี 2563 ที่มีผลการขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับปี 2562 เนื่องจาก บริษัทจะนำเงินจากการขายสินทรัพย์ คือกลุ่มธุรกิจโรงแรมซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ และธุรกิจโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมน้ำเจ้าพระยาให้กับ บริษัทผาแดงอินดัสทรี (PDI) ซึ่งอยู่ในกลุ่ม CGH ไปชำระคืนหนี้สิน ส่งผลให้ลดต้นทุนทางการเงินเสริมสร้างความแข็งแกร่งของงบดุล อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพต่อการปรับตัวรับสถานการณ์ต่าง ๆ และรองรับธุรกิจในอนาคต ของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งธุรกรรมดังกล่าวเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าแนวโน้มธุรกิจ รวมทั้งผลประกอบการจะกลับมาดีขึ้นและมีกำไรได้ในปี 2564 ขณะที่โครงการโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเดนซ์ มียอดพร้อมโอนมูลค่าราว 16,000 ล้านบาท ซึ่งทยอยโอนมาตั้งแต่ไตรมาส 4/62 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียน สภาพคล่องได้เป็นอย่างดีในการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยจะสามารถรักษาระดับกำไรขั้นต้นของโครงการไว้ในระดับสูง ที่เฉลี่ยที่ผ่านมาอยู่ที่ 53%

“การบริหารจัดการฐานะทางการเงินในเชิงรุงตามแผนการที่วางไว้ ประกอบกับสินทรัพย์พร้อมโอนจะทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคง โดย CGD สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินและแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง เป็นที่รู้จักเพื่อเพิ่มรายได้ กำไร และผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยเชื่อมั่นว่าบริษัทจะมีความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ”นายเบน กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี2563 มีทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 406 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 434 ล้านบาทในปี 2562 โดยส่วนใหญ่เกิดจากการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่า 740 ล้านบาทจากการจำหน่ายธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นการขาดทุนทางบัญชีเท่านั้นและไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท

อย่างไรก็ตามหากไม่รวมผลขาดทุนจากการด้อยค่า CGD จะมีกำไรก่อนภาษีเงินได้เท่ากับ 460 ล้านบาทในปี 2563 หรือเพิ่มขึ้น 218% จากปี 2562 ซึ่งการเข้าทำรายการดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญของแผนการบริหารจัดการเชิงรุกในการสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุน และเพิ่มสภาพคล่อง ทั้งนี้ธุรกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากผู้ถือหุ้นโดยได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 18 ม.ค.2564