KTAM มองหุ้นไทยปีนี้อัพไซด์ 8-10% ระยะสั้นผันผวนสูงจับตาเฟด

HoonSmart.com>> บลจ.กรุงไทย มองหุ้นไทยปีนี้อัพไซด์ 8-10% เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 1,600 จุด แรงหนุนแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว ดอกเบี้ยต่ำ ลุ้นท่องเที่ยวฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ระยะสั้นจับตาเฟด ส่งซิก QE หลังเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น หวั่นชะลอมาตรการ ลดวงเงินอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านฟันด์โฟลว์แผ่ว ต่างชาติขายสุทธิกว่า 2 หมื่นล้านบาทในช่วงไม่ถึง 2 เดือน

ดร.สมชัย อมรธรรม

นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีนี้มอง Upside ประมาณ 8-10% จากปัจจุบันหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 100 จุด สู่เป้าหมาย 1,600 จุด สิ้นปี 2564 นี้ โดยปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น และหากนักท่องเที่ยวกลับมาได้มากก็จะช่วยเพิ่ม Upside ขึ้นได้อีก

นอกจากนี้จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังอยู่ระดับต่ำ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ลดลง จึงอาจเห็นการโยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตามในระยะสั้นดัชนีอาจพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นมามาก จนพี/อีสูง ราคาหุ้นแพง ถึงแม้คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะเติบโตสูงถึง 34% ก็ตาม แต่ราคาหุ้นขึ้นมาสะท้อนภาพการฟื้นตัวในปีนี้แล้วและฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ เนื่องจากหุ้นไทย Laggard แต่การพักฐานของดัชนีมองว่าจะไม่ลงรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา

นายสมชัย กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น อาจทำให้เกิดการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือธนาคารกลางสหรัฐอาจทำ QE Tapering ลดการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วขึ้น ส่วนทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ไม่น่าปรับขึ้นเร็ว ซึ่งบลจ.กรุงไทย มอง QE Tapering ไม่น่าจะเกิดในปีนี้ เนื่องจากมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่แข็งแกร่ง อัตราว่างงานถูกแฝงจากประชาชนรับเช็คอยู่บ้าน ซึ่งตัวเลขยังต่ำกว่าความเป็นจริง แต่เม็ดเงินอัดฉีดจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้ามาช่วยกระตุ้นการเติบโตในปีนี้ส่งผลให้ GDP ขยายตัว 5% จากปีก่อนติดลบ

“เรามองเฟดคงยังไม่ถอน QE ปีนี้ อยู่ที่การส่งสัญญาณของเฟดมากกว่า ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาด 1-2 เดือน จนกว่าเฟดจะประกาศถอน QE ทำให้ตลาดผันผวนสูง”นายสมชัย กล่าว

ขณะที่ไทยซึ่งแม้จะมีมาตรการจากภาครัฐช่วยเยียวยา แต่การพึ่งภาคการบริโภคในประเทศเพียงอย่างเดียวผ่านมาตรการต่างๆ คงช่วยระดับหนึ่งในระยะสั้น 1-2 เดือน ไม่เหมือนโครงการลงทุนของภาครัฐ ดังนั้นคงต้องหวังภาคการท่องเที่ยวกลับมาในครึ่งปีหลัง

นายสมชัย กล่าวว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้น และมาตรการกระตุ้นและเยียวยาของภาครัฐถือว่าน่าสนใจ เพราะรัฐบาลยังน่าจะกระตุ้นและดูแลเศรษฐกิจในปีนี้ต่อ รวมทั้งยังมีหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง

ในส่วนของฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่เห็นภาพมาช่วงหนึ่ง แต่ปัจจุบันค่าเงินดอลลาร์อ่อนไม่มากอย่างคาดจากที่ตลาดรับข่าวไปมาก ซึ่งหากดูสถานการณ์เฟดมีแนวโน้มถอนมาตรการช่วยเหลือ อาจเป็นประเด็นทำให้ดอลลาร์ไม่ได้อ่อนค่ามากนัก ขณะที่ภูมิภาคยุโรป ยังไม่ดี มาตรการช่วยเหลือของ ECB ยังมีต่อเนื่องนานกว่าเฟด ส่งผลให้ยูโรอ่อน โดยรวมตลาดเกิดใหม่น่าจะทรงๆ แนวโน้มแข็งได้เล็กน้อย ส่วนฟันด์โฟลว์ที่ผ่านมาเข้าจีนต่อเนื่องค่อนข้างมาก ของไทยเข้าต้นปีและแผ่วปีนี้ต่างชาติยังขาย 2 หมื่นล้านบาท ต่างจากคาดและนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 8,000 ล้านบาท แต่ยังถือว่าไม่มาก

“ต่างชาติอาจมองภาพยาวๆ ต้องอยู่ที่ภาคการท่องเที่ยว โควิด เศรษฐกิจ โครงการลงทุนต่างๆ และ EEC นักลงทุนอาจมองกลับมาที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศ จึงยังคาดการณ์ฟันดโฟลว์ยากและปีนี้ต่างชาติขายหุ้นไทย 2 หมื่นกว่าล้านบาท หากจะกลับเข้ามาเป็นแสนล้านบาทยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร”นายสมชัย กล่าว

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยมองว่าน่าจะคงไว้ที่ระดับ 0.5% แต่ก็มีโอกาสปรับลดลงได้ แต่การทำนโยบายการเงินต้องทำก่อนราว 3 ไตรมาส ดังนั้น หากช่วงปลายปีนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาได้ การผ่อนคลายดอกเบี้ยเพิ่มเติมในช่วงนั้นอาจไม่จำเป็นแล้ว และคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้น่าจะขยายตัวที่ประมาณ 3% บวกลบ ซึ่งมีโอกาสปรับลดลงได้