HoonSmart.com>>บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ โออาร์ เรียกได้ว่าเป็น “หุ้นมหาชนตัวจริง” เพราะนอกจากสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ตลาดหุ้นไทยในการจัดสรรหุ้นที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ให้กับนักลงทุนรายย่อยมากที่สุดถึง 5.3 แสนรายการแล้ว ยังสร้างปรากฎการณ์ใหม่สำหรับหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงถึง 208,980 ล้านบาท โดยสามารถให้อัตราผลตอบแทนแก่นักลงทุนสูงถึง 62.50% ในวันแรกของการเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา (ราคาปิด ณ วันที่ 11 ก.พ. 2564 อยู่ที่ 29.25 บาทต่อหุ้น)
ใครที่รีบขายหุ้นออกไปก่อนคงจะรู้สึกเสียดาย เมื่อเห็นราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาปิดใกล้ระดับ 30 บาท แต่ยังมีผู้ถือหุ้นแบบ VI อีกหลายคนที่คงถือหุ้นเพื่อลงทุนต่อไป เพราะมองเห็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในปัจจุบันและภาพการเติบโตในระยะยาว หุ้นที่ลงทุนอยู่ยังสามารถเพิ่มมูลค่าได้อีกมาก และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรในแต่ละปีอีกด้วย
โออาร์ เป็นบริษัท Flagship ที่ดำเนินธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าปลีกของกลุ่ม ปตท. ซึ่ง ณ ราคาปิดในวันที่ 11 ก.พ. 2564 โออาร์ มีมาร์เก็ตแคปถึง 339,592.50 ล้านบาท นับว่าสูงเป็นอันดับที่สามในกลุ่ม ปตท. เป็นรองเพียงบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์จำนวน 442,653.37 ล้านบาท และบริษัท ปตท. (PTT) มูลค่า 1,149,660.60 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย
ไม่แปลกใจเลยที่ “โออาร์” กระโดดได้ไกลขนาดนี้ เพราะเห็นหนทางข้างหน้าปลอดโปร่ง หุ้นยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนสถาบันไทยและต่างประเทศอีกมาก สวนทางกับปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดต่ำ โดยมีบริษัท ปตท. ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% เพราะนับตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 โออาร์ จะเข้าสู่การคำนวณของดัชนี SET50 และ SET100 และคาดว่าจะได้เข้าคำนวณในดัชนี FTSE ในวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2564 และเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กองทุนที่เป็น Passive Fund เข้าซื้อหุ้นโออาร์ เพิ่มตามน้ำหนักในการคำนวณดัชนีดังกล่าว
นอกจากนี้ โออาร์ ยังมีความสามารถในการเติบโตได้อีกมากจากโครงสร้างธุรกิจและการเงินที่แข็งแรง ในฐานะที่เป็นผู้นำทั้งธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) รวมถึงธุรกิจต่างประเทศที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ และโมเดลการเติบโตตามแผนการลงทุนปี 2564-2568 รวม 74,605 ล้านบาท มีเป้าหมายในการขยายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เป็น 2,500 สาขา และร้านกาแฟ Café Amazon เป็น 5,200 สาขา ในประเทศไทย ในขณะที่จะขยายสาขาสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เป็น 650 สาขา และร้านกาแฟ Café Amazon เป็น 550 สาขา ในต่างประเทศ
ที่สำคัญ โออาร์ สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดได้จากกลยุทธ์การมองหาโอกาสจากธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่น้ำมัน เช่น โลจิสติกส์และการเพิ่มพันธมิตรในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในรูปแบบของการร่วมทุนและการซื้อกิจการตลอดเวลาทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ จีนและโอมาน นอกจากนี้ โออาร์ มีแผนจะขาย Master franchise ของแบรนด์ Café Amazon และขยายสาขาเพื่อเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ สร้างความสมดุลของพอร์ต ลดความผันผวนของผลประกอบการจากปัจจุบันที่มีรายได้จากธุรกิจน้ำมันเป็นหลัก อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาน้ำมันดิบได้ผ่านจุดต่ำสุดในวัฎจักรรอบนี้ไปแล้ว พร้อมจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
“บริษัทวางแผนและลงมือทำอย่างรวดเร็ว เร่งเพิ่มกำไรจากธุรกิจ Non-Oil นอกจากร้านสะดวกซื้อ 2 แบรนด์ คือ เซเว่น อีเลฟเว่น ที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และจิฟฟี่ ล่าสุดได้เข้าถือหุ้น 9.5% ของบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส (Flash Express) รวมทั้งเข้าถือหุ้นบริษัท Peaberry เพื่อขยายธุรกิจกาแฟ โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องชงกาแฟ นอกจากนี้ ยังลงทุนเปิดโรงงานเบเกอรี่ โรงงานผงผสมเครื่องดื่ม เพื่อจัดส่งให้ตามร้านกาแฟ Café Amazon ในประเทศ พร้อมศูนย์กระจายสินค้า และทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับรถอีวี โดยปัจจุบันเปิดให้บริการจุดชาร์จไฟฟ้ากับรถอีวีที่ PTT Station 25 แห่ง และพร้อมที่จะกระจายไปยังเส้นทางหลักทั่วประเทศ”
นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส ให้ราคาเป้าหมาย 24 บาท/หุ้น เห็นการฟื้นตัวถึง 41.2% คาดมีกำไรปกติอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 จากฐานที่ต่ำจากการเกิดโควิด-19 แพร่ระบาดในปี 2563 ในระยะยาวตั้งแต่ปี 2564-2567 คาดกำไรเติบโตเฉลี่ย 16.7% ต่อปี หากบริษัทขยายการลงทุนตามแผนงานที่ตั้งไว้ และคาดจะจ่ายปันผลสูงถึง 0.80 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 2.74% ต่อปี เทียบกับราคาปิดที่ 29.25 บาท นับว่าสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำในปัจจุบัน
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้มูลค่าหุ้น ที่ 19.3-23.1 บาท/หุ้น เพราะมองเห็นตรงกันเรื่องการเติบโต พิจารณาจากยอดขายน้ำมันของ โออาร์ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตสม่ำเสมอเฉลี่ย 2.3% ต่อปี และค่าการตลาดก็เพิ่มขึ้นจากระดับ 0.75 บาท/ลิตร เป็น 1.08 บาท/ลิตร คาดว่าในปี 2564 จะมีกำไรสุทธิ 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 0.92 บาท
ที่สำคัญบริษัทยังมีเงินลงทุนและทรัพย์สินที่มีศักยภาพสูง เช่น การถือครองที่ดิน (กรรมสิทธิ์) ใน PTT Station 135 แห่ง เนื้อที่รวมกว่า 1,000 ไร่ ราคาทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันราคาตลาดน่าจะสูงกว่านั้นมาก เพราะถือครองมานานและมีศักยภาพการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต
นอกจากนี้ ยังถือหุ้นในบริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) จำนวน 45 ล้านหุ้น สัดส่วน 7.06% มูลค่า 922 ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ย 20.49 บาท/หุ้น ขณะที่ราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 25.25 บาท มีส่วนต่างประมาณ 214 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทประสบปัญหาขาดทุนจำนวน 253 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนของปี 2563 จากสถานการณ์โควิด เปรียบเทียบกับที่ผ่านมาเคยมีกำไรเป็น 1,000 ล้านบาทต่อปี คาดมูลค่าจะเพิ่มขึ้น หากการเดินทางด้วยอากาศยานกลับมาปกติ
บริษัทถือหุ้นบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย (THAPPLINE) จำนวน 40.5% มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไรสม่ำเสมอมาโดยตลอด และถือหุ้น Flash Express 9.6% มูลค่า 1,200 ล้านบาท ให้บริการธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีจุดรับส่งพัสดุมากกว่า 2,500 แห่ง ยอดส่งพัสดุในปี 2563 เติบโตกว่า 4000% และมีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นตามเทรนด์การซื้อของออนไลน์ (บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX เพิ่งทำ IPO และมีมูลค่าตลาดกว่า 1 แสนล้านบาท ในปัจจุบัน) ทั้งนี้ โออาร์ ยังถือหุ้นทั้งหมด 100% ในบริษัทย่อยอีกหลายแห่ง
ในอนาคตเมื่อบริษัทลูกแข็งแรงจนสามารถแยกออกจากแม่ เพื่อเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับที่ บริษัท ปตท. แยก “โออาร์” และเข้าซื้อขายในวันนี้ ได้ผลตอบแทนสุดจะคุ้มค่าภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อเห็นโอกาสสูงขนาดนี้แล้ว นักลงทุนอย่าเพิ่งรีบตัดสินใจขายหุ้นทำกำไรในช่วงนี้เลย