HoonSmart.com>>“ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก” เข้าเทรดวันแรกร้อนแรง ให้ผลตอบแทน ตั้ง 62.50% บริษัทตั้งงบรวมลงทุน 7.46 หมื่นล้านบาท ขยายสาขาปั้มน้ำมัน-ร้านกาแฟ ทั้งไทย-ต่างประเทศ จัด 1 หมื่นล้านบาท ร่วมทุนหรือซื้อกิจการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มั่นใจปี 68 ทุกธุรกิจโตขึ้น EBITDA ในธุรกิจ Non-Oil ที่มี Margin ดี สัดส่วนเพิ่มขึ้น เตรียมเข้าคำนวณดัชนี SET50 ,SET100 , FTSE และ MSCI
หุ้นของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 11 ก.พ. 2564 นี้ เป็นวันแรก ราคาเปิดกระโดดที่ 26.50 บาท จากราคา IPO ที่ 18 บาท และปิดที่29.25 บาท พุ่งขึ้น 11.25 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 62.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 47,360.57 ล้านบาทคิดเป็น 44% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งตลาดกว่า 106,395 ล้านบาท
คาดว่าจะได้รับการจัดเข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยเกณฑ์ Fast-track ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือในวันที่ 17 ก.พ.2564 และคาดว่าจะได้เข้าไปคำนวณในดัชนี FTSE ในวันที่ 19-20 ก.พ.นี้ และเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ในช่วงต้นเดือนมี.ค.64 ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหนุนให้มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในหุ้น OR มากขึ้น
น.ส.จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับการเข้าซื้อกิจการ หรือร่วมทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท ธุรกิจ Non-Oil ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในช่วง 5 ปีนี้ (2564-2568) จากที่ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด มีบริษัทหลายแห่งเข้ามาเสนอขาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อมุ่งเน้นการเติบโตที่ดียิ่งขึ้น และต่อยอดธุรกิจในอนาคต
“เราให้ความสำคัญกับการเติบโตแบบ Inorganic Growth มาก ในรูปแบบหาพันธมิตร หรือการซื้อกิจการอยู่ตลอด เชื่อว่ายังมีโอกาสสร้างการเติบโตอีกมาก คาดว่าจะได้ EBITDA สัดส่วนประมาณ 10% จากการลงทุนดังกล่าว” น.ส.จิราพร กล่าว
ส่วนลงทุนทั้งหมดที่วางไว้ประมาณ 74,600 ล้านบาท ใช้ลงทุนภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ (2564-2568) เพื่อสร้างการเติบให้ทุกธุรกิจโดยจะขยายสถานีบริการ ภายใต้แบรนด์ “PTT Station” ในประเทศจะลงทุนเพิ่มปีละ 100 สาขา จากปัจจุบันมี 1,968 และต่างประเทศจะลงทุนอีก 350 สาขา รวมเป็น 650 แห่ง ส่วนหนึ่งจะใช้ขยายสาขา Café Amazon ในไทยปีละ 400 สาขา และต่างประเทศจะเปิดเพิ่มอีก 310 สาขา รวมเป็น 550 สาขา
ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ที่ประเทศจีน บริษัทฯมีแผนจะเปิด Café Amazon เพิ่มอีก หลังจากได้ตั้งบริษัทย่อยที่จีน และศึกษาความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้ตอบโจทย์ตามความต้องการ ส่วนประเทศโอมาน บริษัทฯมองหาพันธมิตร ช่วยขาย Master franchise ของแบรด์ Café Amazon ส่วนในประเทศจะเปิดโรงงานเบเกอรี่ เพื่อจัดส่งให้ตามร้าน Amazon ในประเทศ คาดว่าจะได้กำไรที่ดีขึ้น
น.ส.จิราพร กล่าวเพิ่มเติมในกรณีการใช้กัญชง ในเครื่องดื่มและอาหาร ล่าสุดภาครัฐได้อนุมัติให้เอกชนสามารถประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกัญชงได้ ซึ่งบริษัทฯไม่ได้ปิดกั้นในการทำธุรกิจ หากไม่ผิดต่อข้อกฎหมายหรือผิดหลักเกณฑ์ด้าน ESG
บริษัทตั้งเป้าหมายการลงทุนระยะยาว ทำให้สัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ในปี 2568 เปลี่ยนไป โดยทุกธุรกิจ ธุรกิจน้ำมันสัดส่วนจะลดลงจากปัจจุบัน 68% เหลือ 52% ส่วนธุรกิจ Non-Oil ที่มีอัตราทำกำไรที่ดี สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 33% จากปัจจุบัน 25% และธุรกิจต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 13% จากปัจจุบัน 5%
ส่วนการลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทมองว่าไม่ได้เป็นความเสี่ยง แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากการชาร์จใช้เวลาสักพัก คาดว่าจะส่งผลให้ธุรกิจ Non-Oil มียอดขายที่ดีขึ้น ปัจจุบันได้เริ่มติดตั้งแท่น EV Charger Station บางสถานีที่ให้บริการน้ำมันแล้ว ในอนาคตจะขยายให้ครอบคลุมทั่วทุกพิ้นที่ โดยต้นทุนการลงทุนและติดตั้ง ราคาไม่แพงประมาณ 1.5-2 ล้านบาท ในอนาคตมีแผนในการต่อยอดเป็น EV Station
สำหรับหุ้นของบริษัทเริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 11 ก.พ. 2564 คาดว่าจะเข้าสู่การคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยเกณฑ์ Fast-track ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือในวันที่ 17 ก.พ.2564 และคาดว่าจะได้เข้าไปคำนวณในดัชนี FTSE ในวันที่ 19-20 ก.พ.นี้ และเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ในช่วงต้นเดือนมี.ค.64 ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหนุนให้มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในหุ้น OR มากขึ้น
อ่านประกอบ