OR พร้อมเทรด ชูกำไรเด่น Q3/63 ASP ชี้เป้า 24 บาท บล.แลนด์เกิน19 บ.

HoonSmart.com>> ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ได้ฤกษ์เข้าซื้อขายใน SET วันที่ 11 ก.พ.64 หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค เปิดกำไรไตรมาส 3/63 โต 33% เป็น 3,450 ล้านบาท รายย่อยกว่า 5.3 แสนรายลุ้นระลึก ซื้อ IPO หุ้นละ 18 บาท ด้านบล.เอเซีย พลัส ประเมินราคาเหมาะสม 24 บาท บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ชี้เป้า 19.3-23.1 บาท

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รับหุ้นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 11 ก.พ. 2564 ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค

OR เสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก( IPO) จำนวน 2,610 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไป ประมาณ 2,310ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมของ บริษัท ปตท. (PTT) จำนวน 299,999,834 หุ้น ในราคาหุ้นละ 18.00 บาท นักลงทุนสถาบันที่เป็นผู้ลงทุนหลักโดยเฉพาะเจาะจง (Cornerstone Investors) ที่จองซื้อในประเทศ ประมาณ 1,264 ล้านหุ้น คิดเป็น 48.5% ผู้ลงทุนสถาบันที่จองซื้อในต่างประเทศ 450 ล้านหุ้นหรือ 17.2%ของจำนวนเสนอขายหุ้นครั้งนี้

บริษัทจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 2,610 ล้านหุ้น และจัดสรรหุ้นส่วนเกิน 390 ล้านหุ้น กำหนดวันที่สิ้นสุดการซื้อเพื่อส่งมอบหุ้นที่จัดสรรเกินวันที่ 12 มี.ค. 2564

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ประกอบ ธุรกิจน้ำมัน กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ โดยเป็นผู้นำในการจัดจําหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย “PTT Station” และผู้นำร้านกาแฟ Café Amazon

ด้านผลการดำเนินงานประจำปี 2562 มีกำไรสุทธิ 10,895.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากกำไรสุทธิ   9,493 ล้านบาทในปี 2561

กำไรที่ดีขึ้นมากมาจากกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 17,005 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 14.8% จากปีก่อนที่ทำได้จำนวน 15,059 ล้านบาทขณะที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 577,134 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนจำนวน 594,128.7 ล้านบาท ลดลง 2.9% ต้นทุนขายและการให้บริการ 542,067 เทียบกับ 562,356 ล้านบาท ลดลง 3.4% ส่งผลให้กำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้น 7.2% จาก 31,772 ล้านบาท เป็น  34,067 ล้านบาทล้านบาท

ส่วนปี 2563 งวด 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 5,868.49 ล้านบาท ลดลง 34.4% จากที่มีกำไรสุทธิ 8,947.45 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

เฉพาะไตรมาสที่ 3 มีกำไรสุทธิ 3,450.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 857ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 33% จากจำนวน 2,593.93 ล้านบาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น OR ณ ปี 2564 ด้วยวิธี DCF เท่ากับ 24.0 บาท/หุ้น (ภายใต้ WACC ที่ 7.8%) ซึ่งคิดเป็น P/E  ที่ 24.3 เท่า (กำไรต่อหุ้น ราว 1.0 เท่า) ซึ่งถือว่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ P/E ในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ต่อ P/E ในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีกในสัดส่วน 70:30 ซึ่งจะได้ค่า P/E เท่ากับ 25.7 เท่า ขณะที่คาดจะจ่ายปันผลสูงถึง 0.8 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 4.2% ภายใต้สมมติฐาน ราคาหุ้นละ 18.0 บาท

สำหรับปี 2564 ฝ่ายวิจัยคาด OR จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ เติบโต 41.2% มาอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท (ฟื้นตัวประเด็นโควิด-19 ที่กดดันในปีที่ผ่านมา) หนุนจากการฟื้นตัวทุกกลุ่มธุรกิจ

ขณะที่ภาพระยะยาวตั้งแต่ปี 2564-2567 คาด OR จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ย   16.7% ต่อปี โดยใช้ปี 2563 เป็นปีฐาน  คาดปี 2565 มีกำไร 1.4 หมื่นล้านบาท ปี 2566 ทำได้  1.5 หมื่นล้านบาท และ 1.6 หมื่นล้านบาทในปี 2567

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้ราคาเป้าหมาย 19.3-23.1 บาท/หุ้น  มี Upside 28% จากราคา IPO 18 บาท

บริษัทใน SET ที่เทียบเคียงกับ OR ได้ คือ PTG เนื่องจากมีทั้งธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน และ Non-Oil จึงใช้ P/E เฉลี่ยของ PTG ที่ 20.9 เท่า เป็น Benchmark ในการประเมินราคาที่เหมาะสม แต่ด้วยเครือข่ายธุรกิจและกำไรของ OR ใหญ่กว่ามาก กำหนด Premium เพิ่ม 5-20% โดยหากอิงกำไรต่อหุ้น ที่ 0.92 จะได้ราคาเป้าหมายในช่วง 19.3-23.1บาท

กำไรของ OR ในช่วงปี 2560-2562 อยู่ที่ 9,800  ล้านบาท 7,900 ล้านบาท และ 1.1 หมื่นล้านบาทตามลำดับ แม้กำไรของ Non-Oil จะเติบโตสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่เพียงพอชดเชยความผันผวนของธุรกิจน้ำมันได้ กำไรปี 61 ที่ลดลง 1,900 ล้านบาท เกิดจาก GP ของธุรกิจน้ำมันที่ลดลง 3,100 ล้านบาท จากขาดทุนจาก สต๊อก ขณะที่กำไรที่เพิ่มขึ้นในปี 62 ก็เกิดจาก GP ของธุรกิจน้ำมันที่ 2,100 ล้านบาท  โดยเกิดจากค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้น สำหรับกำไรงวด 9 เดือนปี 2563  อยู่ที่ 5,900 ล้านบาท ลดลง  34% จากช่วงเดียวกันปีก่อน  คาดว่ากำไรในปี 2564  จะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาทกำไรต่อหุ้น  0.92  บาท

ตลาดน้ำมันและค้าปลีกยังคงเติบโตดีในระยะยาว ใน 10 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่เป็น Oil BU) ยอดขายน้ำมันของ OR เติบโตสม่ำเสมอเฉลี่ย 2.3% ต่อปี และรักษาตำแหน่งผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 39-42% ไว้ได้ต่อเนื่อง รวมทั้งค่าการตลาดก็เพิ่มขึ้นจากระดับ 0.75 บาท/ลิตร เป็น 1.08 บาท/ลิตร

นอกจาก 3 ธุรกิจหลักแล้ว  โออาร์ยังถือคอครองสินทรัพย์และเงินลงทุนที่มีศักยภาพสูง  เช่น การถือครองที่ดิน (กรรมสิทธิ์) ใน ptt station 135 แห่ง กว่า 1,000 ไร่ ราคาทุน 1.2 หมื่นล้านบาท  ราคาตลาดน่าจะสูงกว่านั้นมาก หุ้นในบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ  (BAFS ) จำนวน 7.1% มูลค่า 922 ล้านบาท  คาดมูลค่าจะเพิ่มขึ้น หากการเดินทางด้วยอากาศยานกลับมาปกติ