HoonSmart.com>> ผู้ถือหุ้นปตท. ได้รับการจัดสรรหุ้น IPO ของปตท. น้ำมันและการค้าปลีกมากกว่าสิทธิ ส่วนนักลงทุนรายย่อยรอลุ้น 6 ก.พ.นี้ คาดเคาะราคาขายสูงสุด 18 บาท หุ้นเข้าซื้อขายจังหวะเหมาะ พลังงาน- ค้าปลีก ฮอต บล.โนมูระ พัฒนสิน ยกกลุ่มพลังงาน- ปิโตรเคมี เด่น โดยเฉพาะต้นน้ำ ได้ราคาน้ำมันดิบเพิ่ม ดันกำไรกลุ่มพุ่ง 164%
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) แจ้งผลการจัดสรรการจองซื้อหุ้น OR ในส่วนผู้ถือหุ้นบริษัทปตท. (PTT) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2564
“ใครจองซื้อเกินสิทธิ ได้รับจัดสรรหุ้น OR เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ทั้งจำนวนที่ต้องการ เพราะมีหุ้นเหลือไม่มาก ขณะเดียวกันพบว่าผู้ที่ได้รับการจัดสรรเป็นเศษหุ้น เช่น ถือหุ้นปตท. 1,000 หุ้น ได้ OR 10 หุ้น ก็ไม่มาใช้สิทธิจำนวนหนึ่ง ”
ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยที่จองซื้อหุ้น OR ผ่านธนาคาร 3 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย จะทราบผลการจัดสรรในวันที่ 6 ก.พ.นี้
ส่วนราคาขายหุ้นจะประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ก.พ. 2564 น่าจะสรุปในราคาสูงสุด 18 บาทจากช่วงราคาเบื้องต้นที่ 16-18 บาท โดยหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 11 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่ดี ธุรกิจอยู่ในช่วงของการเติบโต รวมถึงหุ้นพลังงานและค้าปลีกเป็นที่สนใจของนักลงทุน
OR เป็นผู้นำในการขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ภายใต้แบรนด์ “PTT Station” ธุรกิจค้าปลีก นำโดยกาแฟ Café Amazon ร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ ร้านสะดวกซื้อ โดยมีตลาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
บล.โนมูระพัฒนสิน คงคำแนะนำ Bullish กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี คาดกำไรปกติกลุ่มพุ่งขึ้น 164% ในปี 2564 หุ้นtop pick เป็นกลุ่มต้นน้ำ ที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันดิบฟื้นตัวเร็วสุด
สาเหตุที่คาดว่ากำไรของกลุ่มนี้จะเติบโตกว่า 1 เท่าตัวมาจาก 4 ปัจจัยคือ 1.ไม่มีขาดทุนสต๊อกก้อนใหญ่ฉุด 2.อัตรากำไรกลุ่มที่ฟื้นตามสเปรดปิโตรเลียม จากระดับคลังน้ำมันทั่วโลกค่อยๆกลับสู่ระดับปกติ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลางและเอเชีย 3. สเปรดปิโตรเคมีฟื้นตัวจากแรงกดดันของ oversupply ลดลงหลังความต้องการทั่วโลกฟื้นตามเศรษฐกิจ และ 4.การปิดซ่อมของโรงก๊าซฯ โรงกลั่น และโรงปิโตรเคมีในกลุ่มลดลง
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า เม.ย.2564 อยู่ที่ 132.55 เพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
สำหรับกลุ่มที่นักลงทุนสนใจลงทุนมากที่สุด คือ กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERGY) รองลงมาคือกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO) และกลุ่มพาณิชย์ (COMM) ขณะที่นักลงทุนไม่สนใจ คือ กลุ่มเหล็ก (STEEL) รองลงมาคือกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) และกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT)
ในช่วงนี้ตลาดหุ้นจะทรงตัวตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ แต่จะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 มองเป้าหมายดัชนีที่ 1,600 จุด