HoonSmart.com>>”โรงพยาบาลจุฬารัตน์” ลั่นปี 64 รายได้โต 2 โรงพยาบาลใหม่เริ่มสร้างกำไร ไตรมาส 4/63 ดีสุดของปี ด้านบล.เมย์แบงก์ แนะซื้อเป้า 3 บาท ส่วนบล.ฟินันเซียฯ คาดกำไรปีนี้โต 15% ตีมูลค่า 3.50 บาท บล.ฟิลิป เชียร์ซื้อ 3.30 บาท หนุนผู้ป่วยตรวจโควิด-19 เพิ่มขึ้น
พญ.ชุติมา ปิ่นเจริญ กรรมการบริหาร และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ารายได้ในปี 2564 จะเติบโตจากปีก่อน จากการที่โรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 จ.ปราจีนบุรี และ โรงพยาบาลรวมแพทย์ จ.ฉะเชิงเทรา จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปี ปัจจุบันเริ่มมีผลประกอบการเป็นบวกแล้ว 1 แห่ง และอีกโรงใกล้จะเริ่มสร้างกำไรแล้ว นอกจากนี้ไม่ต้องแบกรับภาวะขาดทุนของโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง ที่เลื่อนไปเปิดในปี 2565-2566 ได้แก่ ศูนย์มะเร็งสุวรรณภูมิ และโรงพยาบาลจุฬารัตน์ แม่สอด อินเตอร์
ขณะที่รายได้ในปี 63 คาดว่าจะเติบโตหลักเดียว ในช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเงินสด แต่ในช่วงไตรมาส 3/63 เริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด รายได้จากผู้ป่วยประกันสังคมปรับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลุ่มผู้ป่วยเงินสดก็ฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่าในไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุุดของปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบใหม่ ประเมินว่ายังไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทฯรับรู้รายได้จากการตรวจโควิด-19 ซึ่งมีอัตราทำกำไรที่ดีในการตรวจต่อ 1 ครั้ง รวมถึงโรงพบาบาลภายใต้การดูแล มีมาตรการป้องกันและแนวทางปฏิบัติที่ดี รวมถึงได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ทันสถานการณ์ แต่คงส่งกระทบในแง่ที่ว่าผู้ป่วยต่างประเทศอาจจะลดลง ซึ่งมองว่าไม่ได้กระทบมาก จากการที่มีสัดส่วนรายได้น้อย
“เราอยากให้ภาครัฐช่วยผ่อนปรนมาตรการ ในการให้ผู้ป่วยต่างประเทศเข้ามารักษาในประเทศไทย เนื่องจากส่วนใหญ่มีประกันชีวิต ซึ่งไม่ส่งผลเสียต่อโรงพยาบาล และจะเป็นการช่วยโรงพยาบาลภาคเอกชน ให้มีผู้ป่วยต่างประเทศเข้ามารักษา ซึ่งที่ผ่านมา มองว่าทำได้ดีแล้ว แต่อยากให้เพิ่มจำนวนโควต้าเข้ามารักษาเพิ่มขึ้น” พญ.ชุติมา กล่าว
ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพธุรกิจในช่วงนี้ ยังเติบโตจากการที่มีรายได้จากผู้ป่วยประกันสังคม มากกว่าผู้ป่วยต่างประเทศ คาดกำไรสุทธิปี 63 ทำได้ 790 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 705.24 ล้านบาท ส่วนในปี 64 คาดมีกำไรสุทธิได้ 891 ล้านบาท โดยทางบล.เมย์แบงก์ฯ แนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 3 บาท จากการที่เริ่มเก็บเกี่ยวผลประกอบการของ 2 โรงพยาบาลใหม่
ส่วนนายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า คาดกำไรไตรมาส 4/63 โตขึ้น 80% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากรายได้ประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นมาก และควบคุมต้นทุนได้ดี ส่งผลกำไรทั้งปี 2563 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรในปี 2564 คาดว่าจะเติบโตถึง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังเริ่มรับรู้ 2 รายได้โรงพยาบาลใหม่ที่ และรายได้จากลุ่มลูกค้าเงินสดที่จะกลับมา หลังจากช่วงปีก่อนที่รายได้หลักมาจากลูกค้าประกันสังคม โดยแนะนำซื้อ จากราคาที่ยัง Laggard ราคาเป้าหมายที่ 3.50 บาท
ด้านน.ส.หทัยชนก มูลวงศ์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลิป เปิดเผยว่า คาดกำไรในไตรมาส 4/63 ที่ 276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยได้ประโยชน์จากการแพร่นะบาดไวรัส RSV ในคนไข้เด็ก ทำให้รายได้ปรับตัวดีขึ้น และรายได้จากการกักกันผู้เดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาในไทย (Alternative State Quarantine) ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมกับโรงแรม และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นได้ดีขึ้น
ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบใหม่ ทำให้คนเข้าใช้โรงพยาบาลลดลง แต่ได้รับการชดเชยในส่วนของการตรวจให้บริการโควิด-19 นับตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา จำนวนเคสเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 500 รายต่อวัน จากเดิมหลักสิบเคสต่อวัน โดยคงคำแนะนำซื้อที่ 3.30 บาท