“ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด” คงมุมมองเดิมคาดกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ เชื่อเดือนก.ย.และอีกครั้งไตรมาส 4 สวนทางตลาด เศรษฐกิจไทยโตจากภายในประเทศ ปลอดภัยจากสงครามการค้าโลก ส่วนเลือกตั้งปีหน้าหนุนโตต่อเนื่อง ด้านเงินบาทแนวโน้มแข็งค่า
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คงประมาณการเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตที่ 4.0% ในปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี จากแรงสนับสนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นการเติบโตแบบกระจายตัวและสัมพันธ์กันทั่วทุกภูมิภาคซึ่งแตกต่างจากในปีที่ผ่านๆ มา
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องจับตามอง โดยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมีมุมมอง “เชิงบวกแบบเฝ้าระวัง” ต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจหลักๆ ของโลกซึ่งจวบจนขณะนี้ยังคงดีอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงทางการเมือง
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงหลัก 3 ด้านที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกที่เราจะเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1) ผลที่ตามมาจากการยุติการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2) ผลทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเนื่องมาจากโอกาสเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และ 3) ความอ่อนไหวของเศรษฐกิจหลักของโลกที่มีต่อความผันผวนของราคาน้ำมัน” ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดระบุในบทวิเคราะห์เศรษฐกิจล่าสุด ในส่วนของเศรษฐกิจประเทศไทย ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ยังคงประมาณการการเติบโตในปี 2561 ไว้ที่ 4.3% และยังคงมุมมองดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับประเทศไทยค่อนข้างปลอดภัยจากแรงปะทะทางการค้าโลกและการเมืองระหว่างประเทศ และมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เข้มแข็ง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนโดยภาคบริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก มีแนวโน้มการฟื้นตัวในการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการเติบโตของประเทศคาดว่าจะเกิน 4% (ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตตามศักยภาพของประเทศ) หลังจากที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศลดลงต่ำกว่า 1% จากเหตุการณ์ทางการเมืองภายในประเทศช่วงปี 2558
ปัจจัยความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกจะส่งผลต่อทั่วโลกในระดับที่ต่างกัน สำหรับประเทศไทย ปัจจัยภายในประเทศขณะนี้มีน้ำหนักต่อการเติบโตของประเทศมากกว่า เรามีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นตัวกระตุ้นการเติบโตระยะยาว นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ทำให้เชื่อว่านักลงทุนมองตลาดไทยในเชิงบวก
“ตลาดในปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยบวกส่วนใหญ่ไปแล้ว หากไม่มีปัจจัยกระตุ้นใหม่ เศรษฐกิจของไทยน่าจะเติบโตในระดับกลางๆ นี้” นายทิม กล่าว
นอกจากนี้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคงประมาณการเดิมที่คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ในเดือนกันยายน และอีก 0.25% ในไตรมาส 4 ของปี 2561 ซึ่งเป็นมุมมองที่แตกต่างจากตลาดที่มองว่าธปท. จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ถึงสิ้นปี
“เรามองการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากการเติบโตภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศอื่น (ทั้งในภูมิภาคเดียวกันและทั่วโลก) และสัญญาณจากธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่จะมีการเผยแพร่ก่อนการประชุมกนง. (19 ก.ย.) จะเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจของกนง.”นายทิม กล่าว
นอจากนี้นายทิม กล่าวว่า ยังคงตั้งคำถามถึงประโยชน์ของการนำเงินเฟ้อทั่วไปมาเป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงินของธปท. และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ความสามารถของนโยบายการเงินในการดูแลเงินเฟ้อทั่วไปที่มีราคาสินค้าบริโภคยากต่อการควบคุมและราคาเชื้อเพลิงในสัดส่วนถึง 30% ของตะกร้าการคิดคำนวนเงินเฟ้อรวม เรามองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะปรับเป้าหมายเงินเฟ้อในต้นปีหน้า ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของตลาด
ส่วนการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ เช่นกำหนดระยะเวลาและการบังคับใช้ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
“จากที่เราได้พูดคุยกับนักลงทุน พวกเขาคาดว่านโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องหลังการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามเรายังคงต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าจะมีปัจจัยกระตุ้นใหม่ใดที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว”นายทิม กล่าว
นอกจากนี้ดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังคงแข็งแกร่งและธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น ด้วยเหตุนี้คาดว่าในระยะกลาง เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
“สรุปการฟื้นตัวแบบกระจายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมากำลังผนวกรวมเป็นแรงส่งที่ส่งผลดีต่อประเทศ มองไปข้างหน้า เรามีมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพในการเติบโตและพื้นฐานที่ยืดหยุ่นของเศรษฐกิจไทย ซึ่งพร้อมจะทะยานขึ้นหากมีปัจจัยเกื้อหนุนใหม่ๆ”นายทิม กล่าว