DELTA เบ่งขึ้นท็อปทรี 6.6 แสนล. วันเดียวรวย 1.4 แสนล.แซง CPALL

HoonSmart.com>>หุ้นทองคำ! “เดลต้า อีเลคโทรนิคส์” นักลงทุนไล่ซื้อสนั่นเมือง ราคากระโดดปิด นิวไฮ 536 บาท พุ่งขึ้น 116 บาท เฉียด 28% วันเดียวมูลค่าเพิ่มกว่า 1.45 แสนล้านบาท มาร์เก็ตแคปใหญ่กว่า 6.65 แสนล้านบาท เป็นอันดับสาม รอง PTT-AOT เบียด CPALL น้ำหนักมากขึ้น หนุนดัชนีขึ้น 13 จุด บวกไม่ล็อกดาวน์ประเทศรอบสอง ตลาดดีดกลับแรง 35.50 จุด ต่างชาติขายหุ้นต่อ 2,276 ล้านบาท ค่าเงินบาทแข็ง 29.90/30.02 บาทต่อดอลลาร์ นักวิเคราะห์เตือน DELTA แพงเกินพื้นฐานมาก

ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 24 ธ.ค.2563 ดัชนีพลิกจากติดลบ ลงไปลึกสุด 1,409.75 จุด ก่อนเด้งกลับแรงปิดที่ 1,451.52 จุด +35.50 จุด หรือ +2.51% มูลค่าการซื้อขาย 103,386.18 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1,672 ล้านบาทตามด้วยพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ซื้อ  959.21 ล้านบาท ด้านนักลงทุนต่างประเทศขายออก  2,275.95 ล้านบาทและนักลงทุนไทยขายด้วย 355.92 ล้านบาท

หุ้นนำตลาด ต้องยกให้น้องใหม่ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)หรือ KEX จากราคาขาย IPO ที่ 28 บาท เปิดหรูที่ 65 บาท วิ่งไปสูงสุด 73 บาท กลับมาปิดที่ 51.25 บาท แจกกำไรถึง 83% ส่วนพระเอกของวัน บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)หรือ DELTA แรงดีไม่มีตก ราคาขึ้นมาปิดที่ 536 บาท เพิ่มขึ้น 116 บาท หรือ 27.62% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 7,406 ล้านบาท

ราคาหุ้น DELTA ที่เพิ่มขึ้นแรง ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นถึง 144,696 ล้านบาท ภายในวันเดียว  และส่งผลให้อันดับของ DELTA ขยับขึ้นเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่อันดับที่สาม แซงหน้า บริษัทซีพีออล์ (CPALL) ที่มีมาร์เก็ตแคป 530,002 ล้านบาท ส่วนบริษัทปตท.(PTT) ยังคงเป็นแชมป์ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุดที่ 1,178,223.58 ล้านบาท ตามด้วยบริษัท ท่าอากาศยานไทย(AOT) มูลค่า 882,141.98 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น DELTA วิ่งมานาน โดยเฉพาะช่วงนี้ปรับตัวขึ้นแรง 3 วันติดต่อกัน (22-24 ธ.ค.) รวมกว่า 48.47% จากระดับ 361 บาท

อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ต่างเตือนว่า ราคาหุ้น DELTA แพงกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ส่วนใหญ่ให้ราคาเป้าหมายเพียง 200 บาทเศษ  ดังนั้นนักลงทุนที่ซื้อในราคาสูงกว่า 500 บาท มีความเสี่ยงสูงมาก และยังไม่ทราบเหตุผลที่ทำให้ราคาวิ่งมาไกลได้ขนาดนี้

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หุ้นไทยรีบาวด์ตามคาด หลังจากที่ประชุม ศบค. ไม่ประกาศล็อกดาวน์ประเทศ และตัวเลขเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณเป็นบวกที่ชัดเจน สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน รวมถึงมีแรงหนุนจากหุ้น DELTA พุ่งแรง 116 บาท หรือ 27.62% ช่วยดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นประมาณ 13 จุด และยังส่งต่อเนื่องทางจิตวิทยาต่อกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นยังมีปัจจัยเสี่ยงจากตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะมีการออกมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้น จากที่ปิดบางพื้นที่เท่านั้นในช่วงนี้

กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ สำหรับนักลงทุนที่ไม่อยากรับความเสี่ยง ยังไม่ต้องรีบเข้า รอเห็นสัญญาณผู้ติดเชื้อรายวันที่ลดลงก่อน และหาจังหวะเข้าลงทุน ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ให้ PTTGC  นอกจากไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แล้ว กลับได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว  ให้ใช้จังหวะที่ย่อตัวลงในการเข้าสะสมหุ้น

ส่วนราคาหุ้น DELTA ที่ปรับขึ้นสูงนั้น มองว่าเป็นการเก็งกำไรก่อนที่หุ้นจะถูกนำเข้าคำนวนดัชนี SET50 และSET100 ซึ่งนักลงทุนสถาบันจะมีคำสั่งซื้อสุดท้ายในวันที่ 30 ธ.ค.นี้ สำหรับกองทุนรวมดัชนีหุ้น (ETF) ที่ยังไม่มีหุ้นของ DELTA ตามเกณฑ์ที่กองทุนดัชนีกำหนด จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้นตามราคากระดาน

สำหรับภาพรวมกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ละบริษัทมีธุรกิจที่แตกต่างกัน ราคาจึงไม่ปรับขึ้นตาม DELTA ซึ่งบล.เมย์แบงก์ฯแนะนำหุ้น HANA ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง สามารถเก็งกำไรได้ในกรอบ 40-45 บาท

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นตอบรับข่าว ประกาศล็อกดาวน์บางพื้นที่ ถือว่าไม่เข้มงวดเมื่อเทียบกับรอบแรก ส่งผลให้นักลงทุนมีมุมเชิงบวกมากขึ้น อีกทั้งยังได้ปัจจัยบวกจากราคาหุ้น DELTA ด้วย

อย่างไรก็ตามดัชนีหุ้นจะปรับขึ้นได้จำกัด เนื่องจากพรุ่งนี้ (25 ธ.ค.63) เข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสในต่างประเทศ ทำให้ปริมาณการซื้อขายเบาบางลง ประเมินแนวต้าน 1,460-1,470 จุด และแนวรับ 1,440 จุด ส่วนกลยุทธ์แนะนำเก็งกำไรระยะสั้นในกรอบ 1,440-1,500 จุด

กรณีการปรับขึ้นของ DELTA นายอภิชาติกล่าวว่า ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยราคาหุ้นปรับขึ้นเกินกว่าราคาเหมาะสมที่แต่ละสถาบันให้ไว้ สะท้อนเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก

“เรามองว่านักลงทุนกำลังคาดหวังและซื้อหุ้น DELTA จากเรื่องของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่บริษัทฯ มีส่วนร่วมในการจัดทำอุปกรณ์ รวมถึงงบกำไรไตรมาส 3/63 เติบโตกว่าที่ตลาดคาด และการถูกเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ที่จะมีผล 30 ธ.ค.นี้  จะส่งผลให้กองทุนดัชนี (ETF) จำเป็นต้องปรับพอร์ตเข้าซื้อหุ้น ” นายอภิชาติ กล่าว