ปัจจัยบวกท่วมหุ้น NOBLE กำไร-ปันผลพุ่ง แตกพาร์ ผงาดท็อปไฟว์

HoonSmart.com>>”โนเบิลฯ”ก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 ประกาศเป้าหมายปี 64 เปิด 11 โครงการใหม่ มูลค่ารวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 45,100 ล้านบาท โชว์ศักยภาพบริษัท-พันธมิตร ฐานลูกค้ามั่นคง หนุนรายได้ 11,000 ล้านบาท ยอดขายพุ่ง 146% แตะ 16,000 ล้านบาท บริหารการรับรู้รายได้โตทุกไตรมาส อัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 15% มีที่ดินต้นทุนต่ำรองรับพัฒนาอีก 2 ปี พร้อมจ่ายปันผล 70% ของกำไรสุทธิ “ธงชัย” ยืนยัน 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ขายบิ๊กล็อต อีก 2-3 ปี กอด 40%และบีทีเอส 10% ปูทางขึ้นเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ไทยติดอันดับ TOP 5 ภายใน 3 ปี 

ธงชัย บุศราพันธ์

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า ในปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเติบโตและก้าวที่สำคัญของการลงทุน ด้วยคววามร่วมมือกับพันธมิตรระดับชั้นแนวหน้าอสังหาริมทรัพย์ โดยจะเปิดโครงการใหม่จำนวน 11 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 45,100 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในรอบ 30 ปี ตั้งเป้าจะมีรายได้รวม 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากที่คาดว่าในปีนี้ทำได้ 10,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย (pre-sale) จำนวน 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% จากปีนี้ที่จำนวน 6,500 ล้านบาท

โครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 แบ่งเป็นการพัฒนาโดยบริษัทฯ จำนวน 5 โครงการ  ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ (U) ในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) 5 โครงการ และร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์อีก 1 โครงการ โดยในครึ่งปีแรกเปิดทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ จำนวน 4 โครงการ ส่วนอีก 7 โครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านแฝด และทาวน์โฮม จะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ตามนโยบายการรุกขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

บริษัทฯ ยังได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) และบริษัท BTS ถือหุ้นสัดส่วน 40% 41% และ 19%เพื่อลงทุนซื้อที่ดินบริเวณโครงการธนาซิตี้ บางนา  โดยบริษัทฯยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งต่อไป ส่วนการร่วมลงทุนในบริษัท บริหารสินทรัพย์ เอส ดับบลิว พี (SWP) ของบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใน 3 ปีข้างหน้า

” โนเบิลเปิดมา 30 ปี พัฒนาโครงการมาทั้งหมด 67 โครงการ มูลค่าลงทุน 152,000 ล้านบาท การเปิดโครงการในปีหน้า คาดหวังว่านักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาได้ จึงเปิดโครงการให้พร้อมซื้อ ตอนนี้ยังมีที่ดินอยู่ในมือรองรับการพัฒนาอีก 2-3 ปี และยังมีโอกาสซื้อแปลงใหม่ในอนาคตเพิ่มเติม วิกฤตนำมาซึ่งโอกาสเราต้องใช้ประโยชน์ เมื่อตลาดดีราคาที่ดินก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เราสามารถนำไปพัฒนาสร้างขายได้ในราคาที่เหมาะสมกว่าคู่แข่ง”

นอกจากนี้  บริษัทฯ ได้มีการลงนามสัญญาทางธุรกิจกับบริษัท ยู ซิตี้  โดยจะมีสัดส่วนการถือหุ้นโครงการละ 50:50 เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮม บนทำเลถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนคูคต และถนนพระราม 9 รวมจำนวน 4 โครงการ มีมูลค่าโครงการกว่า 23,000 ล้านบาท หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการร่วมทุนพัฒนาโครงการแรกบนทำเลถนนรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 50% โดยทั้ง 4 โครงการใหม่ติดรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีคูคต (สายสีเขียว) สถานีราษฎร์บูรณะ และสถานีประชาอุทิศ (สายสีม่วง) รวมถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพระราม 9

ส่วน backlog ที่มีอยู่ 1.5 หมื่นล้านบาท  และสินค้าคงคลัง 1.5 หมื่นล้านบาท มีการทยอยโอนอีก 2-3 ปี เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการเปิดแนวราบมากขึ้นจากที่มีโครงการเหลืออยู่ไม่ถึง 5 % นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมีแผนขยายและต่อยอดฐานลูกค้า  ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง  ปัจจุบันฐานลูกค้าแบ่งเป็นลูกค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% แม้ว่าลูกค้าอาจชะลอการซื้อ ผลจากสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทยังครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดรวมของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้ถึง 37% จากยอดขายรวมทั้งหมดในอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 9 เดือนของปี 2563 ที่ผ่านมา

กรณี  นาย ธงชัย บุศราพันธ์ และ NCROWNE PTE LTD. นำโดยนายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง มีการหุ้นล็อตใหญ่หลายครั้งในปีที่ผ่านมา นายธงชัยกล่าวว่า การตัดสินใจขายหุ้น เพราะมีพันธมิตรต้องการลงทุน แต่จะไม่มีการขายหุ้นออกมาอีกแล้วในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากโครงสร้างการถือหุ้นมีความเหมาะสมแล้วคือ ตนเองและนายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง ถือกลุ่มละ 20% และ BTS ถือ 10% รวม 50% จะเห็นศักยภาพ และความเป็นมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมผนึกกำลังพันธมิตรที่ลงตัวในการบริหารธุรกิจเพื่อสอดรับกับนโยบายการก้าวจาก TOP 10 ในปัจจุบันกระโดดขึ้นสู่ TOP 5 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยภายในอีก 3 ปีข้างหน้าคือปี 2564-2566 ทั้งด้านยอดขาย และกำไร  คาดว่าจะมีรายได้ รวม1.5-2 หมื่นล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 15%

นอกจากนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท จะดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นและส่งเสริมให้บริษัทฯมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเข้าคำนวณในดัชนี SET100  และ SET 50 ในอนาคต

ด้านนาย แฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า นักลงทุนจีนมีมุมมองอสังหาริมทรัพย์ไทยดี และเอเจนซี่ ในต่างประเทศให้ความสำคัญอสังหาริมทรัพย์ไทยอันดับ 1 ประมาณ 67% ตามด้วยญี่ปุ่น 13% ทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดลูกค้าต่างประเทศสูงสุด นอกจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จในการทำการตลาด ยอดคนเข้ามาชมโครงการ  100 คน จำนวน14 คนสนใจมาเป็นลูกค้าและเป็นลูกค้าจริง 12 คน ถือว่าดีกว่าค่าเฉลี่ยของอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจซื้อ 4 คน และซื้อจริง 3 คน

นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไว้แล้วกว่า 9,000 ล้านบาท บริษัทมีเงินทุนพร้อม ทั้งกระแสเงินสดภายในของบริษัท สินเชื่อจากธนาคาร และการออกหุ้นกู้ ซึ่งเมื่อเดือนพ.ย. ออกมูลค่า 1,250 ล้านบาท และมีแผนเสนอขายอีก 1,300 ล้านบาท เพื่อคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด 1,500 ล้านบาท คาดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 4% ต่อปี สูงกว่าสินเชื่อของธนาคารอยู่ที่ 3 % เศษ

บริษัทได้เตรียมออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นของบริษัทฯให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD/E) ที่ระดับ 1.28 เท่า ซึ่งทำให้บริษัทฯ ยังมีความคล่องตัวในการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินได้ ส่วนแนวโน้มการดำเนินงาน บริษัทมีการบริหารการรับรู้รายได้ เพื่อให้เติบโตทุกไตรมาส