ตลท.ยันไม่ผิดปกติ โบรกเชียร์ซื้อ 1,400 ตปท.-รายย่อยช้อนหุ้นถูก1.1 หมื่นลบ.

HoonSmart.com>> หุ้นดิ่งแรง 5% ตลาดหลักทรัพย์ยันไม่พบผิดปกติ ลงระยะสั้น ชวนมองหาโอกาสจากหุ้นร่วง ต่างชาติเข้าใจโควิดระบาดรอบ 2 ช้อน 3,795 ล้านบาท สถาบัน-พอร์ตบล.ขายหนักสะสมกำไร บล.ทิสโก้มองเป้าหมายต้นปีหน้า 1,500 แนะหุ้นวัฎจักรเด่น-ปันผลสูง บล.ฟินันเซียไซรัสชวนเก็บแถว 1,400 รอขาย 1,600 เชียร์ 8 หุ้น หยวนต้าให้ทยอยสะสมแนวรับ 1,400 KBANK-MBK-MINT เมย์แบงก์กิมเอ็งยกหุ้นปิโตร PTTGC-IRPC ปันผล LH-SC กำไรเด่น SINGER

ตลาดหุ้นไทยวันที่ 21 ธ.ค.2563 ถูกถล่มยับตั้งแต่เปิด แม้มีแรงซื้อระหว่างวัน แต่ต้านแรงขายไม่ไหวในช่วงบ่าย ทุบดัชนีปิดใกล้ระดับต่ำสุด 1,401.78 จุด ร่วงหนัก 80.60 จุด กว่า 5.44% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 129,435.44 ล้านบาท ส่วนเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าปิดที่ 30.06 บาท/ดอลลาร์

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงข่าวตอนปิดการซื้อขายว่า หุ้นร่วงลงแรงมาจากความวิตกสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย ช่วงเช้าเปิดมาติดลบทันที 3.6% และร่วงลงอย่างหนักอีกรอบ หลังจาก 15.00 น. เมื่อตลาดหุ้นยุโรปเปิดซื้อขายดัชนีลดลง 2-3 % ซึ่งตลาดหลักทรัพย์มีการติดตามและตรวจสอบการซื้อขายไม่พบความผิดปกติ

ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิ 3,700 ล้านบาท และนักลงทุนไทยซื้อกว่า 7,000 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 7,352.90 จุด และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 4,196.93 จุด ส่วนธุรกรรมชอร์ตเซลอยู่ที่ 4% จากปกติอยู่ที่ 6% และโปรแกรมเทรดดิ้งอยู่ที่ 22% ซึ่งนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยแสดงถึงความเข้าใจว่า สถานการณ์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของไทย รุนแรงน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และทุกคนรู้อยู่แล้วว่าโควิดไม่มีระลอกเดียว ตลาดหลักทรัพย์จึงไม่จำเป็นต้องมีมาตรการอะไรออกมา คาดตลาดปรับตัวระยะสั้น ตลาดมีการวิเคราะห์เรียลไทม์ มีการนำข้อมูลวันนี้ไปต่อยอด สถานการณ์หุ้นตกรุนแรงได้รายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานก.ล.ต.ว่าการซื้อขายไม่เห็นสิ่งที่ผิดปกติ หรือสิ่งที่น่ากังวล

“เราไม่ได้มองถึงเรื่องการปิดประเทศ เพราะไทยมีการดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดี สถานการณ์ตอนนี้ต่างจากเมื่อเดือนมี.ค.ที่ต่างชาติขายหุ้นออกจากตลาดเกิดใหม่ ผมอยากจะฝากนักลงทุน ลองวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี อาจจะมีมุมมองอีกด้านหนึ่ง ที่เป็นประโยชน์ในการลงทุนช่วงนี้ ในจังหวะที่ตลาดลง เป็นโอกาสในการทำผลตอบแทน “นายภากรกล่าว

ส่วนแรงซื้อขายมากในช่วงเช้าจนเกิดปัญหาความล่าช้าในระบบสตรีมมิ่ง นายภากร กล่าวว่า ระบบการซื้อขายออนไลน์ทั่วโลกไม่มีระบบอะไรที่ให้บริการได้ 100% โดยไม่มีข้อผิดพลาด เมื่อมีคำสั่งเข้ามามากทำให้ระบบช้าลง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาการซื้อขายแต่ละวันปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งตลาดหลักทรัพย์พยายามปรับตัวตลอด นอกจากนั้นระบบสตรีมมิ่งแยกจากตลาดหลักทรัพย์  สร้างขึ้นมาเป็นระบบออนไลน์กลางเพื่อให้อุตสาหกรรมให้บริการด้วยราคาเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ความสำคัญ คือการกำกับดูแลให้การซื้อขายเป็นอย่างราบรื่นที่สุด โดยเฉพาะบริการซื้อขาย ชำระเงิน และส่งมอบหลักทรัพย์ เพราะปริมาณการซื้อขายค่อนข้างมาก โดยบุคลากรของตลาดหลักทรัพย์จะทำงานแยกชัดเจนเป็นทีมเอ และทีมบี เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

น.ส.จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ในเชิงกลยุทธ์มองเป็นจังหวะในการทยอยซื้อสะสมหุ้น หากหลุด 1,400 จุด เนื่องจากศบค.เปิดเผยว่าในช่วงนี้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจากการตรวจในเชิงรุก มีผลกระทบต่อตลาดระยะสั้น คาดตลาดวันที่ 22 ธ.ค.วางแนวรับแรก 1,380 จุด ส่วนแนวต้าน 1,450-1,455 จุด

“เรายังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นปี 2564 ที่ระดับ 1,600 จุด จากเงินทุนไหลเข้า โดยแนะนำซื้อ 8 หุ้นเด่น ได้แก่ BDMS, BEM, KBANK, JWD,M, MTC, SYNEX และ JR”น.ส.จิตรากล่าว

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้  เปิดเผยว่า หุ้นที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุดคือ หุ้นที่มีที่ตั้งและธุรกิจอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร จากการตรวจสอบมีทั้งหมด 13 บริษัท เช่น ASIAN, EKH, M-CHAI, VIH เป็นต้น คิดเป็นประมาณ 2% ของบริษัททั้ง SET และ mai ขณะที่รายได้และยอดขาย คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3% และ 0.4% ของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 9 เดือนของปี 2563

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อเนื่องต่อบรรยากาศการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก เช่น ห้างสรรพสินค้า ได้แก่ CPN, CRC, HMPRO, GLOBAL, BJC, MAKRO และ DOHOME ในพื้นที่ถูกสั่งปิดชั่วคราว สำหรับร้านสะดวกซื้อ ได้แก่ CPALL เปิดได้ แต่ให้ปิดในช่วงกลางคืน รวมทั้งกลุ่มร้านอาหาร เช่น M, ZEN, AU และ OISHI มีผลกระทบจำกัด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้เฉลี่ยราว 1-2% เท่านั้น แต่วัตถุดิบอาหารอาจเป็นบวกเล็กน้อย คือ RBF จากการกักตุนอาหาร

กลุ่มเกี่ยวข้องการท่องเที่ยวและเดินทาง เช่น BDMS, BH, AOT, AAV, CENTEL, ERW และ MINT ได้รับผลกระทบเช่นกัน และกลุ่มแบงก์โดยรวมที่อ่อนไหวกับเศรษฐกิจอาจเผชิญแรงขายระยะสั้น ด้วยจากความกังวลเกี่ยวกับ NPL

สำหรับกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย และหุ้นเทคโนโลยีตามกระแส New Normal จะได้ประโยชน์ อาจมีแรงเก็งกำไรในระยะสั้น เช่น STGT, STA, HANA, KCE, COM7, ILINK, JMT, SIS และ SYNEX รวมทั้งการขายประกัน เช่น TQM และ BLA

“บล.ทิสโก้มองว่าเป็นเหตุการณ์เพียงชั่วคราว มองบวกแนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้า น่าจะหนุนให้มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นทะลุระดับ 1,500 จุดในต้นปีหน้า นักลงทุนระยะกลาง ยังแนะนำถือทนแกว่ง และหาจังหวะสะสมเพิ่ม ยังชอบหุ้นกลุ่มวัฎจักรจะขึ้นนำตลาด สำหรับ หุ้น Big Cap แนะนำ BAM, BBL, BDMS และ PTTGC และ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid-to-Small Cap) แนะนำ AEONTS, TWPC และ WHA สำหรับหุ้นปันผล แนะนำ INTUCH, KKP, LH, NYT, PROSPECT และ TVO” นายอภิชาติ กล่าว

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดได้รับแรงกดดันค่อนข้างมาก ประเมินกรอบแนวรับที่ 1,400-1,420 จุด แต่การฟื้นตัวนั้นต้องรอตัวเลขของผู้ติดเชื้อมีสัญญาณที่ดีขึ้นก่อน ส่วนเงินทุนต่างประเทศคาดว่าจะเริ่มออก จากการเห็นสัญญาณค่าเงินบาทอ่อนค่า

“กลยุทธ์ เราแนะนำเล่นหุ้นที่ราคาร่วงลงมาก จะฟื้นได้เร็วและแรง เราชอบหุ้น KBANK ให้ราคาเป้าหมายที่ 120 บาท ,MBK ที่ราคา 14.50 บาท และ MINT ที่ราคา 27 บาท แนะนำทยอยเข้าสะสมบริเวณแนวรับ 1,400 จุด” นายณัฐพล กล่าว

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การพักฐานรอบนี้ เป็นโอกาสในการทยอยสะสม หุ้นในกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจต่างประเทศ (Global Play) เช่นกลุ่มพลังานและปิโตรเคมี ให้หุ้นเด่น PTTGC และ IRPC รวมถึงกลุ่มที่จ่ายปันผลดี ให้ LH และSC กลุ่มที่มีแนวโน้มผลประกอบการที่เติบโตดีให้ SINGER คาดว่าการพักฐานครั้งนี้ไม่รุนแรงเหมือนในไตรมาส 2 จึงแนะนำแบ่งทยอยสะสม และติดตามแรงขาย