HoonSmart.com>> “เอสพีซีจี” จับมือมิตซู พาวเวอร์ กรุ๊ป-PEA Encom” ตั้งบริษัทร่วมทุน SET Energy ใช้เงินลงทุน 23,000 ล้านบาท เพื่อผลิต-จำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ป้อนพื้นที่อีอีซี หวังสร้างความเชื่อมั่น ดึงเม็ดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกเข้ามาลงทุน คาดหนุนรายได้ปี 64-65 เติบโตแตะ 6,000- 7,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 63 คาดปิดที่ 5,000 ล้านบาท
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับบริษัท พีอีเอเอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ PEA ENCOM จัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท SET Energy ที่มี SPCG ถือหุ้น ในสัดส่วน 40% กลุ่มมิตซู พาวเวอร์ กรุ๊ป 40% และ PEA Encom ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PEA 20% เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ป้อนให้กับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าจะทำให้ SPCG มีรายได้ในปี 2564-2565 ราว 6,000- 7,000 ล้านบาท ต่อปี จากปี 2563 นี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 5,000 ล้านบาท รวมทั้งคาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าจากทั้งในและต่างประเทศ ราว 500 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์
สำหรับการลงทุนวงเงิน 2.3 หมื่นล้านบาทตามโครงการนี้ทำให้ในปี 2564 SPCG เตรียมใช้เงินทุน 5 พันล้านบาท ซึ่งมาจากการออกหุ้นกู้ โดยแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด เป็นที่ปรึกษาฯ คาดออกได้ต้นปี 2564 หลังประชุมผู้ถือหุ้น 15 ม.ค.64 และออกหุ้นเพิ่มทุนให้บุคคลในวงจำกัด (PP) วงเงินที่เหลืออีกราว 1.7-1.8 หมื่นล้านบาท จะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ ปี 2564 ยังคาดว่าจะสามารถสรุปดีลโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาด 100 MW ในญี่ปุ่น 1 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่เจรจาไว้แล้วแต่เลื่อนมาหลังเจอโควิด
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง ให้เป็นพื้นที่ที่ใช้พลังงานสะอาด และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายรองรับนักลงทุน ผู้ประกอบการ ในพื้นที่และประชาชนที่อาศัอยู่โดยรอบ ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดการเกิดปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งสอดคล้องและเป็นไปตามแผนการพัฒนาสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Econom การพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ยังช่วยให้พื้นที่มีคาร์บอนต่ำ (Low Carbon society) นำไปสู่ผลสำเร็จของโครงการจัดหาพลังานไฟฟ้า พลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) และพลังงานสำรอง (ระบบกักเก็บพลังงาน) โดยมีป้าหมายระยะแรกไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปี 2564-2569 มีมูลค่การลงทุนกว่า 23,000 ล้านบาท
SPCG ยังมีแผนจะขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ เพื่อรับสิทธิ์ยกเว้นและลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยเบื้องต้นจะพัฒนาโคงการแล้วเสร็จ 300 มกะวัตต์ ภายในปี 2564 และอีกไม่น้อยกว่า 200 เมกะวัตต์ภายใน 2569 โดยการลงทุนครั้งนี้จะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป และโครงการนี้จะช่วยให้เกิดการจ้างงนกว่า 50,000 คน จะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิต เนื่องจากลดการปลดปล่อยก๊ชคาร์บอนไดออกไซต์ (CO2) ได้ไม่น้อยกว่า 11 ล้านตันคาร์บอน ภายในระยะเวลา 30 ปี หรือประมาณ 4 แสนตันคาร์บอนต่อปี