MBKET มองเป้าหุ้นสิ้นปี 64 ที่ 1,600 จุด ชูปิโตร-แบงก์-อสังหาฯ-ไฟแนนซ์

HoonSmart.com>> บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาดตลาดหุ้นไตรมาส 1/64 ดัชนีแกว่งขึ้นรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ดอกเบี้ยต่ำผ่อนคลายต้นทุนบริษัทจดทะเบียนหนุนเพิ่มเป้ากำไร ดึงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง พร้อมวางเป้าดัชนีสิ้นปี 64 ระดับ 1,600 จุด เน้นกลุ่มปิโตร-แบงก์-อสังหาฯ-ไฟแนนซ์ คัดหุ้นเด่นแนะนำไตรมาสนี้ SCC-LH-TMB-SINGER

วิจิตร อารยะพิศิษฐ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า MBKET คาด SET ไตรมาส 1/64 แกว่งขึ้น ขานรับการฟื้นตัวของภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ด้วยแรงขับเคลื่อนจากนโยบายการคลังที่คาดจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมทั้งหนุนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งภาคส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าสำคัญ ผสานการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำช่วยผ่อนคลายเรื่องต้นทุน ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้คาดจะเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่ม Upside Risk ต่อการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นในช่วงถัดไป หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง

“ประเมินเป้าหมาย SET สิ้นปี 64 ที่ 1,600 จุด เน้นกลุ่มปิโตรเคมี, ธนาคาร, อสังหาฯ และไฟแนนซ์ โดยสำหรับหุ้นเด่นในไตรมาสนี้ เราเลือก SCC, LH, TMB, SINGER” นายวิจิตร กล่าว

สำหรับปี 2563 ตลาดหุ้นเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่คือ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี MBKET พบว่าหลายบริษัทสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการพยายามปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อช่วยให้ธุรกิจผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้

นอกจากนี้ปีที่ผ่านมายังทำให้ MBKET ได้เห็นถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ผ่านพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนต้าน COVID-19 ที่ช่วยเพิ่มความหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป ผสานกับการดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังจากธนาคารกลางและภาครัฐฯทั่วโลกเป็นปัจจัยที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ด้วยปัจจัยต่างๆ ล้วนขับเคลื่อนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงปลายไตรมาส 4/63 และคาดแรงหนุนบวกดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นกระแสเงินทุนไหลเข้าขับเคลื่อน SET แกว่งขึ้นต่อในช่วงไตรมาส 1/64

สำหรับหุ้นแนะนำในไตรมาสนี้ ได้แก่ หุ้น SCC ราคาเป้าหมาย 430 บาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเข้าสู่เฟสของการเติบโต คือ 1.) ธุรกิจปิโตรเคมี กำลังการผลิตจะเพิ่ม 70% เน้น HVA และ นวัตกรรม 2.) ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เน้นเซอร์วิส และ โซลูชั่น ไปค้าปลีก 3.) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ตั้งเป้าจะโตเป็น 2 เท่าใน 5 ปี

นอกจากนี้คาดกำไรไตรมาส 4/63 จะยังเด่น แรงหนุนสเปรดปิโตรเคมี แม้ว่า MOC จะปิดซ่อมบำรุง 45 วัน รวมทั้งบริษัทขยายการลงทุนต่อเนื่อง ปันผลดี 4%

หุ้น LH เป้าหมาย 9.5 บาท โดยเป็นหนึ่งในหุ้นขนาดใหญ่ที่ laggard มาแล้ว 2ปี ซื้อขายที่ -1SD ของ L-T mean PE รวมทั้งประเมินกำไรโต +24% ปี 64 และ +11% ปี 65 ผสานอัตราเงินปันผล > 8% นอกจากนี้แนวราบยังคงเป็นที่นิยม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น โรงแรม อพาร์ทเมนท์ ห้างสรรพสินค้าและธนาคาร ทยอยฟื้นตัวหลังการเปิดเมือง แผนขายสินทรัพย์เพื่อรับรู้กำไรพิเศษมีต่อเนื่อง

หุ้น TMB เป้าหมาย 1.4 บาท ปัจจัยสนับสนุนจากคาดการณ์ไตรมาส 3/63 GDP ที่ –6.4% YoY ฟื้นจาก -12.1% ใน 2Q63 และคาด 2564 +5% ด้านคุณภาพสินทรัพย์ของ TMB ดีขึ้นในไตรมาสไตรมาส 3/63 การปล่อยสินเชื่อ SME ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดยังอยู่ในระดับต่ำที่ 7% ของสินเชื่อรวม
นอกจากนี้กลยุทธ์เน้นคุณภาพสินทรัพย์และการเพิ่มประสิทธิภาพงบดุลมากกว่าการขยายพอร์ตสินเชื่อ คาดกำไรปี 2564 +19% จากสำรองที่ลดลงและค่าธรรมเนียมที่มากขึ้น

หุ้น SINGER เป้าหมาย 21.0 บาท โดยมองเ็นหุ้นจิ๋วแต่แจ๋วที่ยังอยู่ใน Growth stage คาดกำไร All time high ได้ต่อในปี 2564 นอกจากนี้พอร์ตสินเชื่อยังเติบโตได้ไตรมาส-ไตรมาส ขณะที่ภาพรวม NPL ยังลดลงต่อจากปีก่อน อีกทั้งมีแผนนำบริษัทลูก ธุรกิจเงินทุนเข้าจดทะเบียนปี 2565 ปลดล็อคมูล ค่า ทางด้าน Valuation ถูกกว่ากลุ่ม (PE’64 15 เท่า Vs กลุ่มที่ 18-20 เท่า) ขณะที่การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) +20% YoY สูงกว่ากลุ่มที่ +10-15% YoY