HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งหั่นอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ “แอล.พี.เอ็น.ฯ”เป็น “BBB+” จากระดับ “A-” แบรนด์ดีแต่สินค้ากระจุก เจอคู่แข่งสูง คาดรายได้จากการดำเนินงานวูบเหลือ 6.5-8.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 63-66 ต่ำกว่าที่คาดไว้แถว 9,000 -1 หมื่นล้านบาท กดอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้ต่ำกว่า 10%ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แบ็กล็อกเหลือแค่ 3.8 พันล้านบาท EBITDA เพียง 1-1.5 พันล้านบาท/ปี
บริษัททริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เป็น “BBB+” จากระดับ “A-” พร้อมทั้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “คงที่” จาก “ลบ”
การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงและภาระหนี้ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความต้องการที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทลดลงเหลือ 6.5-8.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2566 ต่ำกว่าที่ทริสเคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 9 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี อาจทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้ที่ 10% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงแบรนด์สินค้าของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดีในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคาปานกลางถึงต่ำและการมีบริการหลังการขายที่ดี
นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทมีสินค้าที่ไม่หลากหลายทั้งในแง่ของประเภทและระดับราคา รวมถึงความกังวลต่อผลกระทบในเชิงลบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19อาจสร้างแรงกดดันต่อความต้องการที่อยู่อาศัยและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้นถึงปานกลางเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ สินค้าของบริษัทค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในคอนโดมิเนียมระดับราคาปานกลางถึงต่ำ โดยคอนโดมิเนียมคิดเป็นสัดส่วน 80-90% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในช่วงปี 2558-2561 และประมาณ 60%ในช่วงปี 2562 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563
บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 4.8 พันล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากยอดขาย 3.8 พันล้านบาท ลดลงอย่างมากจาก 1.1-1.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560-2561 ยอดขายรอการรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) ณ สิ้นเดือนก.ย.2563 เหลือเพียง 3.8 พันล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ 2.9 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 4 และ 0.9 พันล้านบาทในปี 2564 ดังนั้นรายได้ในปี 2564-2566 จึงต้องพึ่งพาการขายคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วและการขายโครงการบ้านจัดสรรเปิดใหม่เป็นอย่างมาก
ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คาดว่าจะลดลงเหลือ 1-1.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2563-2566 จาก 1.8-2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2562 แต่ทริสคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตรากำไรต่อรายได้ให้ยังคงสูงเกินกว่า 15% เอาไว้ได้
ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีโครงการระหว่างการพัฒนาจำนวน 39 โครงการ มีมูลค่าเหลือขายทั้งสิ้น 1.78 หมื่นล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) คอนโดมิเนียมมีสัดส่วนคิดเป็น 75% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นบ้านจัดสรร บริษัทมีสัดส่วนสินค้าที่ราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทต่อยูนิตประมาณ 80% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรยังคงต่ำกว่า 25% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม และทริสยังเชื่อว่าโครงการคอนโดมิเนียมในระดับราคาปานกลางถึงต่ำจะยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักต่อไปอีกในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่มูลค่า 5 พันล้านบาทต่อปีและโครงการบ้านจัดสรรใหม่มูลค่า 3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 มีงบประมาณสำหรับซื้อที่ดินคาดว่าจะอยู่ที่ 2-4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 3 ปีข้างหน้า