HoonSmart.com>>”ศรีตรังโกลฟส์” ลั่นวัคซีนไม่กระทบกำไรปี 64 ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ปริมาณขายโต 15% ราคาขายเพิ่ม เตรียมเปิดโรงงานใหม่ 4 โรง เพิ่มกำลังการผลิตอีก 3 พันล้านชิ้นต่อปี รวม 3.6 หมื่นล้านชิ้นต่อปี Backlog สินค้าใหม่รอส่งมอบใน 16-31 เดือน ไตรมาส 4 ปีนี้กำไรนิวไฮต่อ คาดนำหุ้นซื้อขายตลาดสิงคโปร์ได้ไตรมาส 1-2 ปีหน้า หวัง P/E พุ่งแรงเทียบคู่แข่ง บล.ดีบีเอสฯให้เป้า 101 บาท หุ้นร่วงเป็นจังหวะซื้อ
น.ส.จริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทคาดว่าทั้งรายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตดียิ่งขึ้น จากการเพิ่มกำลังการผลิตของ 4 โรงงานใหม่ รวมประมาณ 3,000 ล้านชิ้นต่อปี ส่งผลให้มีกำลังผลิตทั้งสิ้นกว่า 36,000 ล้านชิ้นต่อปี คาดปริมาณขายจะเติบโต 15% และราคาขายยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้ถุงมือยางอยู่มากทั่วโลก ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าใหม่ทั้งถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์เพิ่มขึ้น ระยะเวลาการส่งมอบสินค้ายังคงอยู่ที่ 16 – 31 เดือน ส่วนราคาขายในไตรมาส 4/63 ปรับขึ้นประมาณ 50% จากไตรมาส 3 รวมทั้งปีนี้ปรับขึ้นแล้วกว่า 3-4 เท่าตัวจากปีก่อนหน้า
“เรายังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้จะมีการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้เป็นผลสำเร็จ จากความต้องการใช้ถุงมือยางจะเพิ่มสูงขึ้นในการฉีดวัคซีน และความต้องการใช้ถุงมือในอุตสาหกรรมต่างๆมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ในทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเพื่อสุขอนามัยที่ดีในยุคใหม่” น.ส.จริญญา กล่าว
ด้านน.ส.ธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ ผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน STGT เปิดเผยว่าบริษัทฯมั่นใจว่าผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนที่วางไว้ และมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า จาก 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 16,759.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนแผนการเพิ่มกำลังการผลิตใน 6 ปี ข้างหน้า (2564-2569) ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 48,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก 4 แห่งในปีหน้า ส่วนในปี 2567 เพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นกว่า 82,550 ล้านชิ้น และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
สำหรับการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนแห่งที่ 2 (Dual Listing) ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง สัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ให้ใกล้เคียงกับคู่แข่งในตลาด และเพิ่มช่องทางในการหาแหล่งระดมทุนเพิ่ม คาดว่าจะเริ่มซื้อขายได้ในช่วงไตรมาส 1-2 ปี 2564 โดยไม่มีการออกและเสนอขายหุ้นใหม่
” หุ้นคู่แข่งของเราเทรดกันที่ P/E ประมาณ 20-25 เท่า ส่วนหุ้นเราเทรดกันที่ P/E 10 เท่ากว่าๆ เราคาดหวังให้ P/E ดีขึ้น บริษัทเรามีกำไรมากกว่าคู่แข่ง และมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง แม้มีวัคซีน หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศ หลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นสิงคโปร์” น.ส.ธนวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ หุ้น STGTที่ระดับ 74.50 บาท เทรดที่ P/E ประมาณ 17.56 เท่า
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 101 บาท/หุ้น STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดของไทย กำลังการผลิตมากถึง 32.6 พันล้านชิ้นต่อปี +20% จากปลายปี 2562 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปี 2562-2566 ที่ 24.4% อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิแบบ CAGR สูงมากเป็น 92% จุดเด่นคือ มีต้นทุนเฉลี่ยต่ำสุดในกลุ่ม ได้รับการส่งเสริมจากรัฐให้เสียอัตราภาษีและดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำจนถึงปี 2569 ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยก็เติบโตสูง สำหรับปี 2564/2565 เป็น +65%/+25% ตามลำดับ รวมทั้งมีอัตรากำไรสุทธิสูงมาก 33%/35% ตามลำดับ และมีคำสั่งซื้อในมือ (Backlog) ล่วงหน้ายาวไปถึงกลางปี 2566
ดังนั้นในยามที่วัคซีนมีความคืบหน้า และราคาหุ้นอ่อนลงรับข่าว เพราะกังวลว่าความต้องการใช้ถุงมือยางจะลดลง ถือว่าเป็นจังหวะทยอยสะสมเพื่อการลงทุนได้