HoonSmart.com>> “ทริสเรทติ้ง” ลดอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บางจาก คอร์ปอเรชั่น” เป็น A- จาก A หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน เป็น BBB จาก BBB+ ปรับแนวโน้ม Stable สะท้อนผลดำเนินงานอ่อนแอจากอุตสาหกรรมน้ำมันตกต่ำหนัก ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวธุรกิจโรงกลั่น
ทริสเรทติ้ง ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็น A- จากระดับ A และปรับลดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทเป็น BBB จากระดับ BBB+ พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น Stable หรือ คงที่ จาก Negative หรือ ลบ ด้วย
การปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงของบริษัท ซึ่งเป็นผลจากอุตสาหกรรมน้ำมันที่ตกต่ำเป็นอย่างมาก และสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันรวมถึงค่าการกลั่นน้ำมันด้วย
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน รวมถึงสถานะทางการตลาดที่มั่นคงในธุรกิจการตลาดเชื้อเพลิง และประโยชน์ที่ได้รับจากการกระจายความหลากหลายของธุรกิจ ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงบางส่วนจากความผันผวนของราคาน้ำมันตลอดจนการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้เนื่องจากการทำกำไรของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันอ่อนแอลงและเพื่อสนับสนุนการลงทุนจำนวนมากเพื่อขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัท
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนอย่างมากในปี 2563 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอุตสาหกรรมน้ำมัน สงครามราคาน้ำมันที่รุนแรงประกอบกับการเกิดโรคระบาดที่ไม่คาดคิดส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของน้ำมันโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทประสบผลขาดทุนในปี 2563
เช่นเดียวกับโรงกลั่นน้ำมันอื่น ๆ บริษัทขาดทุนจากสินค้าคงเหลือเป็นอย่างมากซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงอย่างรวดเร็วจากประมาณ 64 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนมกราคม 2563 มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ประมาณ 21 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนเมษายน 2563 โดยราคาน้ำมันดิบค่อย ๆ ฟื้นตัวมาอยู่ในระดับ 40-45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทรายงานผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือจำนวน 4.9 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากนั้นส่งกระทบต่อเงินลงทุนในธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติในต่างประเทศ โดยบริษัทรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนรวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนและสินทรัพย์ใน OKEA ASA (OKEA) และ Nido Petroleum Pty. Ltd. (Nido)
ค่าการกลั่นลดลงต่ำสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา อุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบินนั้นส่งผลให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา อุปสงค์ของน้ำมันอากาศยานนั้นได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รุนแรงที่สุด ดังนั้น โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งจึงพยายามลดการกลั่นน้ำมันอากาศยานให้น้อยที่สุด โดยพยายามเปลี่ยนการกลั่นน้ำมันอากาศยานให้กลายเป็นน้ำมันดีเซลแทน
อย่างไรก็ตามจากความพยายามในการปรับตัวของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันส่งผลให้ค่าการกลั่นของน้ำมันดีเซล (ส่วนต่างราคาของน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบ) ลดลงเป็นอย่างมากจากประมาณ 10-12 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เหลือประมาณ 2-3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนต.ค.2563
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทกลั่นน้ำมันดีเซลได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทลดลงเหลือ 3.02 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก 5.35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากสินค้าคงเหลือ บริษัทมีค่าการกลั่นลดลงจนติดลบ 2.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
นอกจากนี้การฟื้นตัวของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันยังมีความไม่แน่นอน จากอุปสงค์ที่ลดลงของน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้บริษัทลดกำลังการผลิตลงโดยเฉพาะการผลิตน้ำมันอากาศยาน โดยภาพรวมกำลังการกลั่นน้ำมันดิบของบริษัทลดลงจาก 112.6 พันบาร์เรลต่อวันในปี 2562 เหลือ 96.3 พันบาร์เรลต่อวันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 รายได้ของบริษัทลดลงประมาณ 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงถึง 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเหลือ 2.8 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้งมองว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จะยังคงส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของน้ำมันเชื้อเพลิงรวมถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมในระยะ 12 เดือนข้างหน้า แม้ว่าการพัฒนาวัคซีนจะสร้างความหวังว่าธุรกิจจะฟื้นตัว แต่ทริสเรทติ้งก็ไม่คาดว่าค่าการกลั่นจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจนเท่ากับระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จากสมมติฐานกรณีพื้นฐานของ นอกจากนี้คาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563 และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวไปอยู่ที่ระดับ 4-5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วงปี 2564-2566
ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจะกลับมามีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายได้ในปี 2564 โดยความสามารถในการแข่งขันของโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทนั้นมาจากความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถจัดหาน้ำมันดิบที่มีความหลากหลายเพื่อให้ได้น้ำมันสำเร็จรูปหลากหลายประเภท ค่าการกลั่นของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงกว่าโรงกลั่นน้ำมันอื่น ๆ ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยในช่วงปี 2559 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีค่าการกลั่นน้ำมันฐานเฉลี่ยประมาณ 5.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มฟื้นตัว รายได้จากธุรกิจการตลาดของบริษัทส่วนใหญ่จะมาจากการค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งได้เริ่มฟื้นตัวแล้วหลังจากมีการผ่อนผันมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสำหรับการขนส่งนั้นกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด โดยในช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 บริษัทมียอดขายผ่านสถานีบริการ 3,095 ล้านลิตร หรือลดลงเพียง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบกับการลดลงถึง 11% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากสัดส่วนการจำหน่ายผ่านสถานีบริการที่เพิ่มขึ้น ค่าการตลาดของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นเป็น 0.86 บาทต่อลิตรในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 สูงขึ้นจาก 0.77 บาทต่อลิตรในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจการตลาดของบริษัทจะยังคงเป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนให้แก่บริษัทเนื่องจากค่าการตลาดมีความผันผวนน้อยกว่าค่าการกลั่น
ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีสัดส่วนกำไรเพิ่มขึ้น ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทช่วยเสริมสร้างความสามารถในการรองรับความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่นได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ชีวภาพของบริษัทจะสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจไฟฟ้านั้นบริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงานในโรงไฟฟ้าหลายประเภทผ่านบริษัทย่อยได้แก่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ปัจจุบัน บริษัทบีซีพีจีมีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้ว 472 เมกะวัตต์ซึ่งคิดตามสัดส่วนในการลงทุน
ในประมาณการของทริสเรทติ้งนั้น คาดว่าธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทจะมีการเติบโตเป็นอย่างมากและจะสามารถเพิ่มกำไรให้แก่บริษัทได้ โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่บริษัทเพิ่งซื้อเข้ามา (โครงการ Nam San 3A และโครงการ Nam San 3B) จะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 500-700 ล้านบาทต่อปี และเมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทบีซีพีจีได้ทำการเพิ่มทุนใหม่ประมาณ 7.4 พันล้านบาทเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจ โดยประมาณ 2.2 พันล้านบาทนั้นเพิ่มทุนโดยบริษัทเอง
ทริสเรทติ้งประมาณการว่า บริษัทบีซีพีจีน่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.52 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2563-2566 โดยเงินลงทุนนี้จะนำไปใช้สำหรับการซ่อมบำรุง ลงทุนในโครงการก่อสร้างใหม่ และซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 3.5-6.0 พันล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.5-3.0 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560-2562
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 6.36 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2563-2566 โดยประมาณ 4.52 หมื่นล้านบาทจากเงินลงทุนทั้งหมดจะนำไปใช้ในธุรกิจไฟฟ้าและ 1.58 หมื่นล้านบาทจะนำไปใช้ในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาด ส่วนที่เหลืออีก 2.6 พันล้านบาทจะนำไปใช้ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพและอื่น ๆ ดังนั้น จึงคาดว่าบริษัทจะมีเงินกู้ใหม่ โดยส่วนหนึ่งเพื่อนำมาเป็นเงินลงทุน และจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 50% ณ สิ้นปี 2562 ไปอยู่ในระดับประมาณ 60% ในช่วงปี 2564-2566
นอกจากนี้ประมาณการว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-4.5 พันล้านบาทในปี 2563 ลดลงจาก 9.9 พันล้านบาทในปี 2562 อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งเป็นผลจากการค่อย ๆ ฟื้นตัวของราคาน้ำมันและค่าการกลั่นรวมถึงกำไรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจไฟฟ้า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทนั้น คาดว่าจะเพิ่มสูงเกินกว่า 10 เท่าในปี 2563 ก่อนที่จะลดลงเหลือประมาณ 6 เท่าในช่วงปี 2564-2566
ด้านสถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ณ เดือนก.ย.2563 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 1.22 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 1.56 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในระยะ 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 9.0 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระ ทั้งเงินกู้ระยะยาว หนี้สินตามสัญญาเช่า และหุ้นกู้อยู่ที่ประมาณ 6.7 พันล้านบาท
สำหรับแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น รวมถึงบริษัทมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจการตลาดของบริษัทเอาไว้ได้ ในขณะที่การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าก็คาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนให้แก่บริษัทได้อีกด้วย
นอกจากนี้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทยังคงจำกัดอยู่ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ปัจจัยที่มีผลในเชิงลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนแอกว่าที่ประมาณการไว้ ซึ่งอาจเกิดจากการที่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากจากการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้เป็นหลัก หรือการที่บริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากจากการลงทุน โดยเป็นผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทสูงเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน
DBSV FB