“สารัชถ์ “แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย 2563 รวย 1.1 แสนล้านบาท ลดลง 5,670 ลบ.

HoonSmart.com>>หุ้นไทยเจอพิษโควิด ฉุดความมั่งคั่งเศรษฐีหุ้นไทยปี 2563 หายไปกว่า 1.4 แสนล้านบาท “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ยังคงแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยเป็นปีที่ 2 ถือหุ้น GULF มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท รวยลดลง 5.67 พันล้านบาท “น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 กว่า 5 หมื่นล้านบาท รวยลดลง 1.6 หมื่นล้านบาท  หายไปถึง 24.25% จากปีก่อน “นิติ โอสถานุเคราะห์” ติดอันดับ 3 รวย 4.8 หมื่นล้านบาท พอร์ตลงทุนหุ้น 12 บริษัท เทียบปีก่อน 10 บริษัท

วารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทย โดยวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 ก.ย. 2563  ปรากฏว่า เศรษฐีหุ้นไทยปี 2563 ยังคงเป็นของ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์  (GULF) และถือหุ้นใหญ่ 35.44% มูลค่ารวม 115,290 ล้านบาท รวยลดลง 5,670 ล้านบาท หรือ 4.69%  หลังจากหุ้น GULF ก็หนีไม่พ้นผลกระทบจากโดวิด-19  ราคาตกลงมาอยู่ที่ 30.50 บาท ลดลงไป 4.69%ทั้งนี้เป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 2

เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ได้แก่ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ถือหุ้นมูลค่ารวม 50,079.31 ล้านบาท ซึ่งหุ้นที่ถือทั้งหมดใน บริษัทการบินกรุงเทพ (BA) บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) บริษัทโรงพยาบาลนนทเวช (NTV) และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย (SPF) นั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19  ส่งผลให้ปีนี้หมอเสริฐรวยลดลง 16,031.33 ล้านบาท หรือ 24.25%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 3 ในปีนี้ ยังคงเป็นของนายนิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนรายใหญ่ ทายาทอาณาจักรโอสถสภา โดยถือหุ้นมูลค่ารวม 48,181.64 ล้านบาท ลดลง 431.68 ล้านบาท หรือ 0.89% สำหรับพอร์ตการลงทุนของนิติในปีนี้ ประกอบด้วยหุ้นทั้งหมด 12 บริษัท โดยลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้วใน 10 บริษัท

เศรษฐีหุ้นอันดับ 4 ได้แก่ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัททีโอเอ ทายาทคนโตของอาณาจักรสี TOA ขยับมาอยู่ที่ 4 จากอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) และ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA รวมมูลค่า 41,213.15 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 157.85 ล้านบาท หรือ 0.38%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ได้แก่ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี  หลังจากก้าวเข้ามาติดทำเนียบเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 23 เมื่อปีที่แล้ว  ปีนี้ถือหุ้นรวมมูลค่าทั้งสิ้น 38,178.70 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 27,848.13 ล้านบาท หรือ 269.57% จากการนำ บริษัทแอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC)  เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเดือนต.ค. 2562 นอกจากนี้ ยังถือหุ้น บริษัทเครือไทย โฮลดิ้งส์ (SEG) ซึ่งเป็นโฮลดิ้งของกลุ่มสิริวัฒนภักดี ลงทุนในธุรกิจประกันชีวิต ประกันภัย และลิสซิ่งอีกด้วย

เศรษฐีหุ้นอันดับ 6 และอันดับ 7 ได้แก่ 2 เศรษฐีหุ้นเจ้าของ บริษัทเมืองไทยแคปปิตอล (MTC)   โดยนาง ดาวนภา เพ็ชรอำไพ ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 6 จากอันดับ 7 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือหุ้นมูลค่า 35,460 ล้านบาท ลดลง 5,580 ล้านบาท หรือ 13.60% ส่วนนายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ขึ้นจากอันดับ 8 มาอยู่อันดับ 7 โดยถือ หุ้นรวมมูลค่า 35,277.91 ล้านบาท ลดลง 5,563.30 ล้านบาท หรือ 13.62%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 8 ได้แก่ นายสมโภชน์ อาหุนัย เจ้าของ บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA)   หล่นจากอันดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว โดยมีมูลค่าหุ้นรวม 34,412.43 ล้านบาท ลดลง 7,671.82 ล้านบาท หรือ 18.23%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 9 ได้แก่ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ขยับขึ้นเช่นเดียวกับเจ้าสัวเจริญ โดยขึ้น จากอันดับ 23 เมื่อปีที่แล้ว มีมูลค่าหุ้นที่ถือครองรวม 28,728.70 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 18,398.13 ล้านบาท หรือ 178.09%

เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ได้แก่ นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกลุ่มบริษัท บี.กริม กลุ่มธุรกิจสัญชาติเยอรมันยักษ์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าแห่งธุรกิจพลังงาน, โรงไฟฟ้า, อุปกรณ์การแพทย์, เครื่องปรับอากาศ, คมนาคม และอสังหาริมทรัพย์ โดยขยับขึ้นจากอันดับ 11 เมื่อปีที่แล้ว จากการถือครองหุ้นมูลค่ารวม 26,798.95 ล้านบาท ลดลง 632.63 ล้านบาท หรือ 2.31%

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่ใช้คำนวณมูลค่าความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยปี 2563  อยู่ที่ 1,237.04 จุด ลดลงถึง 400.18 จุด คิดเป็น 32.35 % จากปี 2562 ปิดที่ระดับ 1,637.22 จุด ทำให้ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยในปี 2563 ลดลงถึง 140,796 ล้านบาท หรือ 7.09% อย่างไรก็ดีดัชนีปรับตัวขึ้นทะลุ 1,400 จุด ในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา