ธนาครารกรุงศรี คาดแนวโน้มเงินบาทสัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวกรอบ 33.15-33.50 บาทต่อดอลลาร์ กังวลข้อพิพาทการค้าโลกฉุดค่าเงิน
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.15-33.50 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 33.34 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 9 เดือน ตามทิศทางเงินหยวนที่อ่อนค่าต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 5.6 พันล้านบาท และ 4.6 พันล้านบาท ตามลำดับ ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญ ขณะที่ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนรุนแรงยิ่งขึ้นหลังสหรัฐฯ เผยว่าจะเก็บภาษีนำเข้า 10% จากสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ และจีนเตรียมจะตอบโต้ นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเงินเฟ้อ ที่ฟื้นตัวสอดคล้องกับการประเมินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า ตลาดจะจับตาการแถลงนโยบายของนายพาวเวลล์ ประธานเฟดต่อ สภาคองเกรส นอกจากการประเมินภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย จุดสนใจของนักลงทุนจะอยู่ที่ความเห็นของประธานเฟดเกี่ยวกับผลกระทบของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มจะแบนราบมากขึ้น หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
ขณะที่ตลาดมองถึงโอกาสที่อัตราผลตอบแทนระยะสั้นจะปรับตัวขึ้นสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งในอดีตมักเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยรวมเราคาดว่าประธานเฟดจะแสดงท่าทีระมัดระวังต่อประเด็นดังกล่าวแต่จะยังไม่แสดงความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานายพาวเวลล์ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยที่ไม่วิจารณ์นโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่แสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอยู่ใน “ภาวะที่ดี” โดยมาตรการภาษีและงบรายจ่ายของรัฐจะสนับสนุนการเติบโตของจีดีพีสหรัฐฯ ใน 3 ปีข้างหน้า
สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าได้เข้าดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้เงินบาทผันผวนเกินไป ซึ่งช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้างแต่ไม่สามารถฝืนกระแสตลาดโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงท้ายของไตรมาสสอง การอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของเงินหยวนฉุดสกุลเงินเอเชียรวมถึงเงินบาทอ่อนค่าตามไปด้วย
ขณะที่ตลาดเตรียมตัวรับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยที่ตลาดแทบไม่ตอบรับตัวเลขการส่งออกของจีนที่ดีเกินคาด แต่ยอดเกินดุลการค้าของจีนที่มีต่อสหรัฐฯ สูงเป็นประวัติการณ์ในเดือน มิ.ย. กลับทำให้นักลงทุนกังวลว่าสถานการณ์อาจตึงเครียดต่อไป และแม้กระทั่งเงินเยนกำลังสูญเสียสถานะแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยในระยะนี้เช่นกัน