ดาวโจนส์ปิดบวก 185 จุด หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

HoonSmart.com>> ดาวโจนส์ปิดบวก 185 จุด หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วัคซีนต้านโควิด-19 ออกใช้ได้เร็ว ด้านภาคการผลิตจีนขยายตัวได้ดี ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ราคาน้ำมันดิบลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่ 29,823.92 จุด เพิ่มขึ้น 185.28 จุด หรือ 0.63% จากรายงานว่านายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีคลังและนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะหารือเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 908 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งครอบคลุมวงเงินกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ของโครงการให้สินเชื่อเพื่อคุ้มครองธุรกิจ (Paycheck Protection Program) สำหรับธุรกิจขนาดย่อม

นักลงทุนยังคาดหวังว่าจะมีวัคซีนต้านไวรัสออกใช้ในเร็วๆ นี้ ขณะที่การขนส่งวัคซีนเริ่มขึ้น รวมทั้งผู้ผลิตได้ยื่นขออนุมัติต่อสำนักงานอาหารและยา รวมทั้งมั่นใจมากขึ้นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วหลังจากข้อมูลภาคการผลิตของจีนบ่งชี้ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยบวกนี้ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดที่นิว ไฮและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปียังปรับตัวขึ้นไปที่ระดับเหนือ 0.9%

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,662.45 จุด เพิ่มขึ้น 40.82 จุด , +1.13%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,355.11 จุด เพิ่มขึ้น 156.37 จุด, +1.28%

เมื่อวานนี้ Caixin/Markit เผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือPurchasing Managers’ Index (PMI) ภาคการผลิตเดือนพฤศจิกายนของจีน เพิ่มขึ้นมาที่ 54.9 จาก 53.6 เดือนตุลาคม

อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นของตลาดถูกจำกัดหลังจากนายมิทช์ แม็คคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากวุฒิสมาชิกไม่เห็นด้วยกับมาตรการ และต้องการออกเป็นกฎหมายเยียวยาแบบมีเป้าหมายเจาะจงมากกว่า

นอกจากนี้ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯยังบ่งชี้ว่าการขยายตัวชะลอลง โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เผย ดัชนีภาคการผลิตเดือนพฤศจิกายนอ่อนตัวลงมาที่ 57.5 จาก 59.3 ในเดือนตุลาคม ซึ่งต่ำกว่า 58.0 ที่นักวิเคราะห์

ไอเอชเอส มาร์กิต เผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพฤศจิกายนปรับตัวเพิ่มติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 มาที่ 56.7 จากระดับ 53.4 ในเดือนตุลาคม และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2014

กระทรวงพาณิชย์เผย การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 1.3% จากที่ลดลง 0.5% ในเดือนกันยายน และสูงกว่าการเพิ่มขึ้น 0.8% ที่นักวิเคราะห์คาด

เมื่อวานนี้นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีคลัง และนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลาง(เฟด) แถลงต่อสภาคองเกรสว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอย่างมาก และการระบาดของไวรัสทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นสิ่งที่น่ากังวล ซึ่งอาจจะเป็นความท้าทายในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า การฟื้นตัวอย่างเต็มที่ของเศรษฐกิจจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าประชาชนจะมีความเชื่อมั่นว่าปลอดภัยและกลับไปทำกิจกรรมตามปกติ

หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก เพิ่มขึ้น 2.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 1.88% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 1.58% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 0.73%

หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.7% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรและรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2021

หุ้นเทสลาเพิ่มขึ้น 3% หลังจาก S&P Dow Jones Indices ระบุว่า จะนำบริษัทเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 ในครั้งเดียววันที่ 21 ธันวาคม แทนที่จะแยกเป็น 2 ครั้ง

หุ้นไฟเซอร์เพิ่มขึ้น 2.87%

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานที่เพิ่มขึ้น 3.6% จากความหวังว่าการมีวัคซีนต้านไวรัสออกใช้จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น

องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development:OECD) ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2020 เพิ่มขึ้น จาก -4.5% เป็น -4.2% ส่วนปี 2021 ปรับลดลงเป็น 4.2% จาก 5% ส่วนปี 2022 ขยายตัว 3.7%

อัตราเงินเฟ้อยูโรโซนเดือนพฤศจิกายนทรงตัวที่ -0.3% ต่อเนื่องจากเดือนกันยายน ไอเอชเอส มาร์กิต เผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพฤศจิกายนปรับตัวลดลงมาที่ 53.8 จากที่ 54.8 ในเดือนตุลาคม

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 391.90 จุด เพิ่มขึ้น 2.54 จุด , +0.65%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,384.73 จุด เพิ่มขึ้น 118.54 จุด, +1.89%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,581.64 จุด เพิ่มขึ้น 63.09 จุด, +1.14%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,382.30 จุด เพิ่มขึ้น 91.14 จุด , +0.69%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมกราคมลดลง 79 เซนต์ ปิดที่ 44.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 46 เซนต์ปิดที่ 47.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน