BPP เล็งซื้อโรงไฟฟ้าสหรัฐ 600-900 MW ดีลจบครึ่งปี64

HoonSmart.com>>”บ้านปูเพาเวอร์” ประกาศปี 64 เป็นปีทอง โรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ แถมมีโอกาสสูงในการซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซในสหรัฐ ขนาด 600-900 MW สร้างกระแสเงินสดทันที  เปิด 3 กลยุทธ์ หนุนการโตเข้าเป้า 5,300 เมกะวัตต์ในปี 2568 

นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปูเพาเวอร์ (BPP) เปิดเผยว่า บริษัทมีข่าวดีสนับสนุนการเติบโตในปี 2564 เริ่มจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ยามางาตะ กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ (MW) เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD)ได้ตามแผนในวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา และโรงไฟฟ้ายาบูกิ กำลังการผลิต 5  MW จะเริ่ม COD ในเดือน ธ.ค.2563 ขณะที่ในไตรมาส 4 ปีนี้จะไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าเหมือนทุกปี หลังจากได้เร่งดำเนินการในไตรมาส 2-3 ไปแล้ว ทำให้โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดินตามกำลังการผลิตเต็มที่

ส่วนโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวงในจีน กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 396 เมกะวัตต์ จะเริ่มขายไอน้ำในเดือน ธ.ค. ก่อนที่จะเริ่ม COD ในไตรมาส 1/2564  และโรงไฟฟ้าพลังงานลมหมุยยินในเวียดนามที่เพิ่งซื้อมา ขนาดกำลังการผลิต 38 เมกะวัตต์ น่าจะเริ่มรับรู้กำไรในไตรมาส 1/2564 ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา ระยะที่ 1 กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์  เลื่อน COD จากไตรมาสแรกไปเดือน พ.ค.2564  รับผลกระทบโควิด-19  เกิดความล่าช้าการขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้าง และโรงไฟฟ้าพลังงานลมหวินเจา ระยะที่ 2 กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการก่อน

นายกิรณกล่าวว่า บริษัทยังคงใช้กลยุทธ์การซื้อกิจการโรงไฟฟ้า (M&A) ที่ดำเนินการแล้ว เพื่อสร้างกระแสเงินสดทันที ขณะนี้กำลังเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซในสหรัฐอเมริกา 4 ราย ขนาดกำลังการผลิต 600-900 เมกะวัตต์ (MW) คาดว่าจะคัดเลือกเหลือ 2 ราย และหาข้อสรุปได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

ขณะเดียวกันบริษัทมองเห็นโอกาสเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานลมและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม รวมถึงการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมเองด้วย คาดว่าจะมีโรงไฟฟ้าในเวียดนามอย่างน้อย 200 เมกะวัตต์ เพราะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็ว จึงมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่สูงมาก และทางการเวียดนามให้เงินสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

สำหรับการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ  และการลงทุนเอง เพื่อให้บริษัทโตเข้าเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 ปัจจุบันมีกำลังการผลิตแล้ว 2,300 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 553 เมกะวัตต์ รวม 2,853 เมกะวัตต์  การลงทุนของบริษัทยังคงเดินหน้าภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.การลงทุนในประเทศที่บริษัทบ้านปู (BANPU) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เข้าไปลงทุนอยู่แล้ว เพราะมีฐานและทรัพยากรพร้อม ปัจจุบันมีการลงทุน 11 ประเทศ อาทิ สหรัฐฯ อินโดนีเซีย จีน 2. เน้นลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูง โดยเฉพาะในอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น  และ3.เน้นการเติบโตธุรกิจพลังงานทดแทน ผ่านบริษัทบ้านปู เน็กซ์ ซึ่ง BPP ร่วมลงทุนกับ BANPU ฝ่ายละ 50% เน้นการใช้ Energy Technology ในเป้าหมายจะมีพลังงานทดแทนประมาณ 800 เมกะวัตต์ หรือ 20% ของ 5,300 เมกะวัตต์

นายกิรณกล่าวว่า บริษัทยืนยันว่ามีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะใช้ลงทุน หรือซื้อโรงไฟฟ้า โดยปกติจะมีเงินสดในมือ 2,000 ล้านบาทต่อปี แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีความไม่แน่นอนสูง จึงเตรียมเงินสดไว้ถึง 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องดำเนินการคืนสถาบันการเงิน เพื่อกลับมารักษาเงินสดในมือ  2,000 ล้านบาทตามเดิม และยังมีความสามารถก่อหนี้ได้อีกมาก เพราะมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำมากที่ 0.08 เท่า  และยังมีโอกาสในการออกกรีนบอนด์ด้วย  สิ่งสำคัญคือการเลือกหาทรัพย์สินที่ดีในการลงทุน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า  บริษัทยังมีการลงทุนด้านบุคคลากร มีการพัฒนา และเรียนรู้ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เช่น แนวโน้มตลาดไฟฟ้าในโลกกำลังเปลี่ยนไปเป็น Merchant Market  ปัจจุบันสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อังกฤษ มีการซื้อขายไฟฟ้าในตลาดรอง แตกต่างจากที่เป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) เช่น ในไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม   โดยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา BPP เริ่มส่งคนเข้าไปซื้อขายไฟฟ้าในตลาดรองในญี่ปุ่นที่มีกำลังผลิตเองราว 140 เมกะวัตต์  ซึ่งเป็นโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ผลิตเอง สามารถจัดหามาขายได้ ทำให้ต้นทุนไม่สูง แทนการมีเพียงสัญญา PPA ที่รายได้ทรงตัว  แต่บริษัทยังคงยืนยันที่จะลงทุนโรงไฟฟ้าผลิตเองเพื่อบริหารความเสี่ยง ปัจจุบัน พอร์ตโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังเป็นสัญญา PPA ขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีสัญญาระยะยาว

“นักลงทุนที่จะลงทุนในหุ้น BPP การวิเคราะห์งบการเงินควรดูจาก EBITDA  เพราะการร่วมทุนในโครงการต่างๆ สัดส่วน  30 % เป็นการรับส่วนแบ่งของกำไรเท่านั้น  และหุ้นของเรายังได้รับเลือกเข้าดัชนี MSCI Thailand Small Cap เริ่มมีผลวันที่ 30 พ.ย.2563 นี้ ทำให้นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจมากขึ้น”นายกิรณกล่าว