ความสำเร็จตั้งโต๊ะซื้อ MK ตัวแปรอยู่ที่ “รายย่อย-ราคาหุ้นบนกระดาน”

บริษัท ศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ ( SPM ) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของศุภาลัย ( SPALI ) ประกาศตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นมั่นคง เคหะการ ( MK ) จากนักลงทุนทั่วไป (เทนเดอร์ออฟเฟอร์ ) ราคารับซื้อ 4.10 บาท นั้น ถือว่าเป็นราคาที่ดี ที่ SPM ยอมจ่ายสูงกว่าราคาบนกระดาน ภายใต้เงื่อนไข การรับซื้อต้องได้หุ้น 25 % ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ MK หากต่ำกว่านี้ยกเลิกการรับซื้อ

ขณะที่ราคาหุ้น MK ก่อนหน้านี้ เคลื่อนไหวอยู่ 3 บาทต้น ๆ ปริมาณการซื้อขายต่อวันไม่มาก เดือนมิ.ย.2561 ที่ผ่านมา เฉลี่ย 2-3 ล้านบาทเท่านั้น และมาพีคสุด 10.81 ล้านบาท เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ( 9 ก.ค.) หากดูภาพรวมของการซื้อขายแล้ว ถือว่าเป็นหุ้นนอกสายตาการเก็งกำไรของนักลงทุน

ดังนั้น การยอมจ่าย 4.10 บาท เป็นการจูงใจ-เชิญชวนให้นักลงทุนทั่วไปยอมปล่อยหุ้นออกมาขาย


หากเป็นดีลทั่ว ๆ ไป การตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ภายใต้เงื่อนไข การเจรจาการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นใหญ่ , ผู้ถือหุ้นใหญ่ เพิ่มทุนจำนวนมากให้กลุ่มทุนใหม่เข้ามา เข้าข่ายถือหุ้น เกิน 25 % ต้องทำตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากรายย่อย

แต่กรณีของ SPM อยู่นอกเหนือเงื่อนไขนี้ทั้งหมด ไม่มีการเจรจากับผู้ถือหุ้นใหญ่มาก่อนล่วงหน้า มีเพียง “ การแจ้งให้ทราบ” เท่านั้น

ปฏิบัติการของ SPM และ “ประทีป ตั้งมติธรรม” ซึ่งส่วนตัวของ “ประทีป “ ถือหุ้น MKอันดับ 1 สัดส่วน 11.29 % อยู่แล้ว หากมองโลกสวย ไม่น่ามีปัญหาที่จะมาถือหุ้นเพิ่ม แต่ถ้ามองร้าย เป็นการเทคโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตร แม้ว่า “ประทีป “ ยืนยันกับ Hoonsmart.com แล้วว่า ไม่ต้องการเทคโอเวอร์ ก็ตาม แต่ต้องการพันธมิตร-ธุรกิจ เป็นประโยชน์ทั้ง MK และ SPM

หลายคนอาจสงสัย ชื่อของ “ประทีป “ ที่เข้าไปร่วมถือหุ้นอันดับ 1 ของ MK ได้อย่างไร ทั้งที่เป็นเจ้าของถือหุ้นใหญ่ SPALI อยู่แล้ว

เดิม MK เป็นบริษัทของ นายชวน ตั้งมติธรรม (อิ่มช้วน แซ่ตั้ง ) พี่ชายคนโตของนายประทีป เป็นผู้ก่อตั้ง MK เมื่อ 62 ปีก่อน เจ้าของโครงการแบรนด์ ชวนชื่น และ สิรีน เฮ้าส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่นายประทีป ก็ได้เรียนรู้งานกับพี่ชาย ก่อนจะแยกตัวไปทำ SPALI กระทั่ง 3 ปีก่อน นายชวน ปิดฉากการบริหารมั่นคงการเคหะ ยกหุ้น 20.64 % ขายให้กับบริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ และ ซีพีดี โฮลดิ้ง ของกลุ่มนายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ และกลุ่มฟินันซ่า มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท

ส่วนนายประทีป ที่มองเห็นทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ของ MK ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ คลังสินค้า จึงดอดเข้ามาเก็บหุ้นในกระดานอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จากค่อย ๆ เก็บสะสม ก็เริ่มถือหุ้นมากขึ้นจาก 5 % ขยับขึ้นมา 10 % และเก็บไปเรื่อย ๆ จนถึง 11 % ตามประสาคนมีเงินแล้วมีทุกข์ที่ต้องหาการลงทุนสร้างผลตอบแทนไปเรื่อย ๆ ล่าสุดเดือนที่ผ่านมา “ประทีป “ ยังได้เข้าลงทุนในบริษัท ทาพาโก้ ( TAPAC ) สัดส่วน 10 %

นอกจากสนามกอล์ฟ คลังสินค้า แล้ว ความน่าสนใจอีกอย่างของ MK ก็คือ ราคาหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน 6.70 บาท อัตราผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 6% ต่อปี ผลประกอบการมีกำไร ปี 2559 กำไรสุทธิ 350 ล้านบาท จ่ายเงินปันผล 0.25 บาท และปี 2560 กำไรสุทธิ 233 ล้านบาท จ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.22 บาท/หุ้น

การจู่โจมประกาศรับซื้อหุ้น MK ครั้งนี้ จะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่เงื่อนไข 2 อย่างคือ ผู้ถือหุ้นรายย่อย รวมถึงผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ของ MK ที่จะนำหุ้นมาขายให้ , และหุ้นบนกระดาน ต้องไม่ถูกไล่ซื้อจนราคาพุ่งสูงกว่า 4.10 บาท เป็นตัวกดดัน SPM ตั้งโต๊ะซื้อหุ้นไม่สำเร็จ