PTT ลั่นรายได้ปีหน้าดีขึ้น คุยซื้อกิจการ 2-3 ดีลเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนตปท.

HoonSmart.com>>ปตท.คาดปีหน้าเศรษฐกิจดีขึ้น นโยบาย”ไบเดน” หนุนราคาน้ำมันดิบ 40-50 เหรียญสหรัฐ  ไม่มีขาดทุนสต็อก  โรงกลั่น-ปิโตรเคมีดีตาม เจรจา M&A 2-3 ดีลในตปท. คาดชัดเจนในไตรมาส1/64 หากำลังผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน  ตั้งเป้า 8,000 เมกะวัตต์ภายในปี 73

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.(PTT) เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ในปี 2564 มีทิศทางดีขึ้น และไม่มีขาดทุนสต็อกมากเหมือนปีนี้ คาดราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในกรอบ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเฉลี่ย 41-42 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และปริมาณขายที่น่าจะเพิ่มขึ้น ตามเศรษฐกิจ หลังนายโจ ไบเดน คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธาธิบดีสหรัฐ และสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลงหากมีวัคซีนต้านโควิด-19 ออกมาใช้

ส่วนสถานการณ์โรงกลั่นและปิโตรเคมียังต้องติดตาม จะดีขึ้นตามเศรษฐกิจ  แต่สถานการณ์น้ำมันอากาศยานยังฟื้นตัวกลับมาไม่ถึง 50% ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มปตท.บริหารจัดการผลิตน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 3 แห่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยให้บริษัทไทยออยล์ (TOP) ผลิตน้ำมันอากาศยานเพียงรายเดียวในปัจจุบัน ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดจร (spot) ปัจจุบันพุ่งขึ้นสูงในระดับ 7 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู  ลดความจำเป็นนำเข้าจากตลาด spot  และลดแรงกดดันในการที่จะลดการเรียกรับก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยด้วย แต่ราคามีทิศทางที่ลดลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ถึงช่วงต้นปี 64 เนื่องจากราคาส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลัง 6-24 เดือน เชื่อว่าจะสะท้อนไปยังค่าไฟฟ้าที่ถูกลงด้วย

นายอรรถพลกล่าวว่า นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ มีท่าทีประนีประนอม น่าจะทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนผ่อนคลายลงและมีนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนมากกว่าพลังงานจากฟอสซิล ทำให้การผลิตน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติออกมาน้อยลง ส่งผลดีต่อทิศทางราคาที่จะปรับเข้าสู่สมดุล รวมถึงนโยบายจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้มากให้สูงขึ้นและหันไปเพิ่มค่าจ้างแรงงานระดับล่างก็จะกระตุ้นกลุ่มฐากรากให้มีกำลังซื้อมากขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจให้เติบโต แต่นโยบายเพิ่มอัตราภาษี อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง กดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบอาจจะขยับขึ้นบ้างเล็กน้อย

ปตท.ใช้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปี 64 สำหรับการจัดทำงบประมาณและแผนงาน เตรียมนำแผนงานและงบลงทุน 5 ปี (ปี 64-68) เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการปตท.ในเดือนธ.ค.นี้ กลุ่มปตท.ตั้งเป้ามีกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิสเพิ่มเป็นระดับ 8,000 เมกะวัตต์ในปี 73 จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 5,000 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างรอความชัดเจนโครงการ Gas to Power ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ขนาด 600 เมกะวัตต์ในเมียนมา คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 64 รวมถึงยังให้ความสนใจโครงการในเวียดนาม และอาเซียนด้วย

ส่วนการหากำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เพิ่มเป็น 8,000 เมกะวัตต์ภายในปี 73 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตกว่า 500 เมกะวัตต์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) อยู่ 2-3 ดีลในต่างประเทศ คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1/64 โดยดีลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในอินเดีย ที่กลุ่มปตท.ยังคงศึกษาแผนการเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่องด้วย

สำหรับการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่มปตท.จะใช้บริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เป็นแกนนำ ปัจจุบันยังคงสัดส่วนการถือหุ้น72.23% จากที่ผ่านมามีการ ปรับโครงสร้างภายในธุรกิจไฟฟ้าบางส่วน เพิ่มการถือหุ้นใน GPSC จาก 22.81% เป็น 31.72% ช่วยเพิ่มศักยภาพการลงทุน และจะทำให้ GPSC มีความคล่องตัวในการลงทุนโครงการต่าง ๆ

นายอรรถพลกล่าวถึงความคืบหน้าการนำหุ้นบริษัทปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจตลาดและสอบถามนักลงทุน รวมถึงรอดูสภาวะตลาดด้วย จึงยังไม่มีข้อสรุปในส่วนนี้ออกมา