SPALI เทกโอเวอร์ MK จ่าย 4 พันล้านได้สินทรัพย์ 1.4 หมื่นล.

“ศุภาลัย” ซื้อกิจการ “มั่นคงเคหะการ” ทั้งหมด ได้ทั้งกำไรและความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ยอมจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นละ 4.10 บาท แพงกว่าตลาด 24% ถ้าผู้ถือหุ้นขายไม่ถึง 25% ล้มกระดาน

บริษัท ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯมีมติเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2561 ให้ใช้บริษัทย่อยคือ ศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ แมนเนจเม้นท์ ทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (เทนเดอร์ออฟเฟอร์)ของบริษัท มั่นคงเคหะการ (MK) โดยสมัครใจ จำนวน 992,010,177 หุ้น ในราคาหุ้นละ 4.10 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 4,067.24 ล้านบาท ทั้งนี้ราคารับซื้อที่ 4.10 บาท สูงกว่า 0.80 บาท หรือประมาณ 24% จากราคาในตลาดปิดที่ 3.30 บาท

บริษัทศุภาลัย พรอพเพอร์ตี้ฯ ตั้งเงื่อนไขว่า จะยกเลิกคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด หากเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วมีผู้เสนอขายหุ้นน้อยกว่า 25% ของหุ้นทั้งหมด

การซื้อกิจการครั้งนี้ มูลค่ารวมของสินทรัพย์ที่จะได้มาจาก MK เมื่อคำนวณจากมูลค่าตามบัญชี ณ วันที่ 31 มี.ค. 2561 เท่ากับ 14,359.06 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ของกิจการเท่ากับ 6,603.94 ล้านบาท


ส่วนผลประโยชน์ที่คาดว่าบริษัทฯจะได้รับ คือ 1.โอกาสจาก MK ที่มีทรัพย์สินที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ เช่น ที่ดินเปล่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนา เป็นต้น

2.โอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการที่ศุภาลัยและ MK มีจุดเด่นและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน สามารถผสมผสาน ทรัพยากรด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี รูปแบบสินค้า ตราสินค้า การก่อสร้าง การจัดซื้อ ความแข็งแกร่งทางการเงิน และบุคลากร อีกทั้งเพิ่มอํานาจต่อรองกับผู้รับเหมาในการจัดหาวัตถุดิบและการก่อสร้าง เนื่องจากมีขนาดการลงทุนและการก่อสร้างรวมที่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาวและเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจในด้านต่างๆ

3. เพิ่มโอกาสในการเติบโตของบริษัทจากการขยายธรุกิจและการลงทุนไปยังธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เช่าและและบริการ 4. ขยายการลงทุนให้ครอบคลุมประเภทของสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อให้เช่าและบริการ และเพิ่มสัดส่วนรายได้จากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ ช่วยลดความเสี่ยงด้านผลประกอบการโดยการกระจายรายได้ให้มาจากหลากหลายประเภททรัพย์สิน

บริษัทมั่นคงเคหะการ ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และเพื่อให้เช่าและบริการ เมื่อสิ้นปี 2560 MK ได้พัฒนาโครงการเพื่อขายมาแล้วกว่า 64 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ภายใต้ชื่อ”ชวนชื่น” และ”“สิรีนเฮ้าส์” ระดับราคาบ้านเฉลี่ยประมาณ 2-5 ล้านบาท ในปี 2560 เปิดดำเนินการโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมด 12 โครงการ

ส่วนธุรกิจเพื่อให้เช่า MK มีหลายประเภท อาทิ อาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานให้เช่า ขนาดพื้นที่ประมาณ 350 ไร่ ตั้งอยู่ในโครงการ Bangkok Free Trade Zone ซึ่งเป็นพื้นที่สัญญาเช่าช่วงที่ดินโดยบริษัทย่อยของ MK และในโครงการดังกล่าวยังมีพื้นที่อีกประมาณ 700 ไร่ นอกจากนี้ยังมีอาคารสํานักงานในอาคารมั่นคงเคหะการ ส่วนธุรกิจบริการ MK มีสนามกอล์ฟ “ชวนชื่น กอล์ฟ คลับ” ขนาด 18 หลุมพร้อมคลับเฮ้าส์และสนามไดร์ฟกอล์ฟโดยมีพื้นที่ประมาณ 400 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนกรุงเทพ-ปทุมธานี อําเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี และยังมีธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์เกี่ยวกับการรับบริหารจัดการอาคารอีกดัวย