TU กำไรทะลุ 2,056 ลบ. Q3/63 โต 50% ยอดขายเพิ่ม

HoonSmart.com>> “ไทยยูเนี่ยน” เปิดยอดขายไตรมาส 3/63 กำไรสุทธิพุ่งแตะ 2,056 ล้านบาท เติบโต 49.7% จากงวดปีก่อน สถานการณ์โควิด-19 หนุนผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ทำอาหารทานที่บ้าน ดันธุรกิจอาหารสัตว์โตตาม

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 3/2563 บริษัทมียอดขาย 34,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิพุ่งสูงทะลุระดับ 2 พันล้านบาท อยู่ที่ 2,056 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าถึง 49.7% โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้น แบ่งเป็น ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขาย 16,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขายเพิ่มขึ้น 4.7% อยู่ที่ 13,370 ล้านบาท และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 12% อยู่ที่ 5,155 ล้านบาท นอกจากนี้มีกำไรขั้นต้น 6,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.6%

“ผลประกอบการของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นผลจากกลยุทธ์ทางธุรกิจในการพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน” นายธีรพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนทั้งในธุรกิจหลักและธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง อาทิ ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร หรือ ingredients และเทคโนโลยีนวัตกรรมอาหาร

“สถานการณ์โควิด-19 นั้น ยังเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ โดยไทยยูเนี่ยนเองได้มีมาตรการต่างๆ และทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าของเราทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนรู้สึกยินดีที่ผู้บริโภคยังคงเชื่อมั่นและให้การตอบรับแบรนด์ต่างๆ ของเราที่มีอยู่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องและและในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหาร ไทยยูเนี่ยนลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในไตรมาสที่ 3 ได้จับมือกับฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ 4 บริษัท โดย 3 บริษัทนั้นมาจากโครงการ สเปซ-เอฟ ที่ไทยยูเนี่ยนได้ร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2562” นายธีรพงศ์ กล่าว

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อไปว่า วิสัยทัศน์ของไทยยูเนี่ยนคือร่วมสร้างระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหาร ไทยยูเนี่ยนเองได้มีการเริ่มทำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ผลิตจากโปรตีนจากพืชในประเทศไทย เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการโปรตีนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น

บริษัทสตาร์ทอัพที่ไทยยูเนี่ยนได้ร่วมลงทุนได้แก่ มันนา ฟู้ดส์ ที่พัฒนาโปรตีนทางเลือก ส่วน อัลเคมี ฟู้ดเทค นั้นมุ่งเน้นในด้านอาหารสำหรับผู้ป่วย และ ไฮโดรนีโอ เป็นบริษัทที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ ส่วนบริษัท วิสไวร์ส นิวโปรตีน เป็นผู้นำในการลงทุนในโปรตีนทางเลือก

ถึงแม้ว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่สำหรับตลาดสินค้าประเภทดังกล่าวในระดับโลกนั้นถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่สูงทีเดียว โดยปัจจุบันตลาดโปรตีนทางเลือกของโลกนั้นมีขนาดถึง 12,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในช่วงระหว่าง ปี 2562-2568 ถึง 6.8% เฉลี่ยต่อปี

อย่างไรก็ตามด้วยวิสัยทัศน์และนวัตกรรมของไทยยูเนี่ยนที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นการที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสาร Intrafish ในฐานะผู้ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก ได้รับรางว้ล SDG Impact Award จากเวที Responsible Business Award 2020 ด้วยโครงการต่างๆ ที่ริเริ่มเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) และล่าสุดไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน

“เรายังคงดำเนินธุรกิจโดยรักษาระดับกระแสเงินสด พิจารณาโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา และบริหารจัดการสายการผลิตของเราโดยเน้นย้ำเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อที่จะสามารถผลิตสินค้าคุณภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง” นายธีรพงศ์ กล่าว