“สิงห์ เอสเตท”เสกเงินซื้อกิจการ-ตั้งเป้าปีนี้มูลค่าสินทรัพย์แตะ6หมื่นล้าน

“สิงห์ เอสเตท” ทุ่ม 2 หมื่นล้าน ลุยซื้อกิจการโรงแรม-สร้างโรงแรมที่มัลดีฟส์-ซื้อที่ดิน ตั้งเป้าปีนี้ทรัพย์สินเพิ่มเป็น 6 หมื่นล้านบาท เดินหน้านำ “เอส โอเตล แอนด์ รีสอร์ท” เข้าตลาดหุ้น เข็น “ตึกซันทาวเวอร์” เข้ากองทุนอสังหาฯ ระดมเงินซื้อกิจการหวังโตต่อเนื่อง

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท หรือ S เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจและนโยบายการลงทุนปี 2561 ว่า ปีนี้ บริษัทฯมีแผนใช้งบลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท สำหรับการเข้าซื้อกิจการโรงแรม 6 แห่ง 11,073 ล้านบาท การลงทุนโครงการ Crossroads ในมัลดีฟส์เฟส 1 มูลค่า 311 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9,600 ล้านบาท และการซื้อที่ดินเปล่า 1 แห่งเพื่อนำมาพัฒนา มูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ บริษัทมีสินทรัพย์รวม 6 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่บริษัทมีทรัพย์สิน 40,910 ล้านบาท

สำหรับเงินที่จะนำมาซื้อกิจการในปีนี้และในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะมาจาก 3 ส่วนหลัก คือ 1.การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินหลายแห่งพร้อมให้การสนับสนุน 2.การนำธุรกิจโรงแรมของบริษัท เอส โอเตล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2562 โดยเงินที่ได้จะนำไปซื้อกิจการและบางส่วนจะนำไปชำระคืนหนี้เดิมของ S เพื่อลดภาระทางการเงิน และ3.การนำอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส เข้ากองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในปี 2563

“เรายังคงใช้วิธีเติบโตด้วยวิธี M&A โดยลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพ ทั้งโครงการที่สามารถสร้างรายได้ได้ทันที และการพัฒนาโครงการใหม่ๆที่จะสร้างรายได้ในอนาคต โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว โดยปีนี้เราตั้งเป้ามีทรัพย์สินเป็น 6 หมื่นล้านบาท และยิ่งได้เงินจากการระดมทุนเร็วเท่าไหร่ เราก็โตต่อเนื่องเร็วขึ้นเท่านั้น รวมทั้งบริษัทจะมุ่งสร้างรายได้ที่จากพอร์ตโฟลิโอที่มีความสมดุล โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่มีรายได้ประจำ (Recurring Income) จากปัจจุบัน 30% ให้เพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ในปี 2563”นายนริศกล่าว

ผู้บริหาร สิงห์ เอสเตท หรือ S แถลงทิศทางการดำเนินธุรกิจและนโยบายการลงทุนปี 2561

นายนริศ กล่าวว่า ปีที่แล้วบริษัทมีรายได้รวมจากทุกธุรกิจในเครือ 7,516 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายในปี 2563 บริษัทจะมีรายได้รวมเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่มีรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น ธุรกิจโรงแรม ออสฟิสและสำนักงาน จำนวน 1 หมื่นล้านบาท และธุรกิจที่ไม่เป็นรายได้ประจำ (Nonrecurring Income) ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งธุรกิจในส่วนนี้บริษัทมียอดขายที่รอการรับรู้ (Backlog) ของธุรกิจที่พักอาศัย 1.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้ยอดขายที่รอการรับรู้จะอยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท

“ในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจาก 8 โครงการใหม่ คือ 1.รายได้จากธุรกิจโรงแรม 6 แห่งที่ซื้อเข้ามาใหม่เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา 2.รายได้จากโครงการเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์-พระราม 9 ที่เปิดตัวไปแล้วเมื่อกลางเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา 3.โครงการสันติบุรี สมุย เฟสใหม่ 4.โครงการ Low rise luxury Condominium 5.โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส 6.โครงการมิกซ์ ยูส สิงห์ คอมเพล็กซ์ที่จะเปิดตัวในเดือนส.ค.นี้ 7.โครงการ ดิเอส อโศก และ8.โครงการ Crossroads hotel ในมัลดีฟส์”นายนริศกล่าว