สถาบันไล่ซื้อหุ้น กลัวตกขบวน ราคาลงลึกน่าสนใจลงทุน

ตลาดหุ้นไทยทะยาน 1.27% เกาะกลุ่มตลาดเอเชีย สถาบันเฮโลซื้อกว่า 4 พันล้านบาท “แมนูไลฟ์” เผยใจตรงกันเงินสดล้นมือ ราคาลงถึงจุดต้องช้อน “เคทีบี” คาดรีบาวด์ช่วงสั้นๆ แนะเพิ่มพอร์ตหุ้น ตลาดมีโอกาสขึ้น แต่ปีนี้ไม่น่าถึง 1,800 จุด ต่างชาติขายทั้งหุ้นและตราสารหนี้

บรรยากาศการลงทุนในวันที่ 10 ก.ค. แรงซื้อหุ้นใหญ่ นำโดยพลังงาน ปิโตรเคมี และแบงก์หนุนตลาดหุ้นไทยพุ่งฉิว ปิดเกือบจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,643.60 จุด ร่วม 20.64 จุดหรือ 1.24% ทิศทางสอดล้องตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปรับตัวขึ้น 1.42% อินโดนีเซียบวก 1.28% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นไทยต่อเนื่อง 1,393 ล้านบาท ขายตราสารหนี้ 2,730 ล้านบาท ส่วนสถาบันซื้อหุ้นมากถึง 4,220 ล้านบาท รวมวันที่ 1-10 ก.ค.ซื้อสุทธิ 21,825 ล้านบาท

น.ส.จินตนา เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) เปิดเผย Hoonsmart.com ว่า แรงซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบันในช่วงนี้คาดว่าเกิดจากการที่กองทุนถือเงินสดในมือมากเกินไป เมื่อประเมินตลาดอาจไม่ได้ปรับตัวลงแรงๆ อย่างที่คาด และราคาหุ้นหลายตัวลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมากถึงจุดที่เข้าลงทุนได้สำหรับการลงทุนระยะยาว จึงต้องเข้ามาเลือกซื้อหุ้น เพราะหากตลาดปรับขึ้น การถือเงินสดในมือมากๆ อาจทำให้ผลดำเนินงานของกองทุนแพ้ตลาด ซึ่งเป็นดัชนีเปรียบเทียบของกองทุน

ส่วนนักลงทุนทั่วไปที่เข้าซื้อหุ้น อาจเป็นไปได้ว่าชอร์ตหุ้นไปก่อนหน้ากลับมาซื้อคืน เนื่องจากตลาดปรับตัวขึ้นเร็ว แม้ต่างชาติยังขายหุ้นออก แต่เบาบางลง หากนักลงทุนในประเทศไม่ได้เทขายหุ้นออกมามากๆ ตลาดคงไม่ได้ลงแรง ถ้าไม่มีปัจจัยลบเข้ามาใหม่

“หุ้นกลุ่มพลังงานได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูงจากซัพพลายที่ไม่น่าจะเพิ่มขึ้น จึงมีแรงซื้อหุ้นเข้ามาค่อนข้างมาก ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมองว่าเป็นช่วงโชว์ซีซั่น ประกอบกับเหตุเรือล่มและการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ อาจทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง นักลงทุนจึงลดน้ำหนักช่วงสั้น” น.ส.จินตนา กล่าว

สำหรับกลุ่มแบงก์แนะนำให้รอดูผลประกอบการไตรมาส 2 ว่าได้รับผลกระทบจากค่าธรรมเนียมจากดิจิทัลแบงก์กิ้งแค่ไหน

แนวโน้มครึ่งปีหลัง น.ส.จินตนา กล่าวว่า หุ้นที่เกี่ยวกับกำลังซื้อในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนยังน่าสนใจ รวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจากโครงการลงทุนของภาครัฐที่ทยอยเข้าสู่ระบบ

“ตลาดคงยังผันผวนตลอดครึ่งปีหลัง มีแรงกดดันจากสงครามการค้า ดังนั้นนักลงทุนควรเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และเชื่อว่าปีนี้กองทุนก็คงแบ่งพอร์ตบางส่วนเล่นรอบเพื่อทำกำไรบ้าง เพราะการซื้อและถืออย่างเดียวอาจแพ้ตลาด”น.ส.จินตนา กล่าว

น.ส.จินตนากล่าวว่า บลจ.แมนูไลฟ์ ปรับลดเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ลงจากเดิมคาดไว้ 1,800 จุด เหลือกรอบ 1,750-1,800 จุด และคงประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 10% ในปีนี้

ทางด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นครึ่งปีหลังว่า จะสามารถรีบาวด์ได้ในช่วงสั้นๆ เนื่องจากกำไรบจ.ไตรมาส 2 น่าจะปรับตัวดีขึ้นและนักลงทุนรับรู้ปัจจัยลบไปแล้ว

“รอบนี้น่าจะรีบาวด์ขึ้นมาได้ถึง 1,740 – 1,760 จุด แต่ไม่คิดว่าปีนี้ดัชนีจะกลับไปที่ 1,800 จุดได้ เพราะต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง ยกเว้นความเสี่ยงในต่างประเทศจะหายไป ขณะที่นักลงทุนที่เข้าลงทุนแถว 1,600 จุดจะขายทำกำไรออกมา” นายวิน กล่าว

ทั้งนี้ บล.เคทีบี ให้ข้อมูลว่า ต่างชาติยังมีแรงขายอยู่มาก แม้สัปดาห์ที่ผ่านมาขายออกมา 1 หมื่นล้านบาทก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปี รวม 1.80 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม นายวิน แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากขึ้น จากเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนให้ถือเงินสด 40-50% ของพอร์ต แต่ในปัจจุบันให้ลดเงินสดเหลือ 20-30% เท่านั้น เนื่องจากราคาหุ้นปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว โดยแนะนำการลงทุนหุ้นไทย จีน อินเดีย เกาหลี

นอกจากนี้ นายวิน ยังระบุว่า ในครึ่งปีหลังหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่ดี คือ กลุ่มพลังงาน ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่คาดว่าจะรับรู้รายได้มากขึ้นในครึ่งปีหลัง และกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ คาดว่ากำลังซื้อจะมีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นายวิน กังวลว่า กลุ่มโรงแรมราคาประหยัด และสนามบิน อาจจะได้รับผลกระทบหากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง รวมทั้งกลุ่มธนาคารที่ปีนี้อาจจะรายได้ลดลงหากปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9

“กลุ่มพลังงานจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่หากราคาสูงเกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก็จะกระทบกับธุรกิจในกลุ่มอื่นและผู้บริโภค เพราะฉะนั้นระดับราคาน้ำมันที่เหมาะสมควรมีเสถียรภาพที่ประมาณ 70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล” นายวิน กล่าว