โดย …สุนันท์ ศรีจันทรา
การประกาศซื้อคืน หุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)หรือ BEAUTY ช่วยหยุดยั้งวิกฤตราคาหุ้นตัวนี้ที่กำลังดิ่งลงเหวลึก แต่หลังจากคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนจริง หุ้นกลับถูกเทขาย จนทรุดลงใหม่อีกครั้ง สะท้อนให้เห็นว่า ขาลงของหุ้น BEAUTY ยังไม่จบ
คณะกรรมการ BEAUTY จัดประชุมเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 64 ล้านหุ้น หรือ 2.13% ของทุนจดทะเบียน วงเงิน 950 ล้านบาท ระยะเวลาซื้อคืน 6 เดือน เริ่มต้นระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ถึง23 มกราคม 2562
โครงการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ เป็นความพยายามเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่ได้ผลเพียงช่วงสั้น ๆเท่านั้น โดยสามารถชะลอการเทขาย เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมได้ ราคาหุ้นกระเตื้องขึ้นมา ก่อนจะถูกทุบลงอีกในการวันที่ 9 กรกฎาคม โดยราคาถอยลงมาปิดที่ 7.25 บาท ลดลง 75 สตางค์ หรือลดลง 9.38%
ทุกคนอ่านเกมของฝ่ายบริหาร BEAUTY ออก โดยพยายามสร้างข่าวดี นำเงินของบริษัทออกมาซื้อหุ้นคืน แต่จะซื้อคืนหุ้นได้จำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจหยุดยั้งแรงขายที่ทะลักออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดินได้ โดยเฉพาะเมื่อมีความกังวลกับผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ซึ่งมีระแคะระคายออกมาแล้วว่า กำไรจะลดลง
ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า กำไรไตรมาสที่ 2 ซึ่งรอประกาศในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญขนาดไหน แต่กำลังเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้นักลงทุน และอาจเป็นประเด็นสำคัญ ที่นำไปสู่การถล่มหุ้น BEAUTY ในครั้งนี้ก็ได้
เพียงแต่นักลงทุนอาจตื่นตัวกับปัจจัยลบด้านกำไรที่ชะลอตัวช้าไป จึงขายหุ้นทิ้งไม่ทัน แต่น่าจะมีคนบางกลุ่มที่ปฏิกิริยาฉับไว จมูกดี ได้กลิ่นไม่ดีล่วงหน้า จึงชิงขายหุ้นทิ้งก่อน
สมมุติฐานเรื่องผลประกอบการไตรมาสที่ 2 เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการเทขายหุ้น BEAUTY จริงหรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ทราบจากตัวเลขผลกำไรที่กำลังจะออกมา ถ้าผลกำไรทรุดอย่างมีนัยสำคัญ สมมุติฐานในประเด็น “อินไซเดอร์เทรดดิ้ง” หรือการนำข้อมูลภายในมาใช้ แสวงประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น เอาเปรียบนักลงทุนทั่วไปคงไม่ห่างไกลจากความจริง
ตลาดหลักทรัพย์ คงต้องเตรียมตัวเข้าไปตรวจสอบการซื้อขายหุ้นตัวนี้ ควานหาตัว “อินไซเดอร์” โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร
มีกระแสจากนักลงทุนประปรายเหมือนกัน ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดนายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ หรือกลุ่มไกรภูเบศ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงไม่ช้อนหุ้นคืน
เพราะหลายปีที่ผ่านมา ขายหุ้นออกมาจำนวนมาก จนสัดส่วนการถือหุ้นเหลือเพียง 20% ของทุนจดทะเบียน และหุ้นที่ทยอยขายออกมา ขายในราคาดี ๆ ทั้งสิ้น
ถ้าต้องการเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน ต้องการส่งสัญญาณให้รู้ว่า BEAUTY อนาคตสดใส และราคาขณะนี้ แม้แต่กลุ่มไกรภูเบศ ยังอดใจไม่ไหว ต้องกลับมาซื้อคืน
นำเงินจากการขายทำกำไร กลับมาซื้อคืนสัก 2,000 ล้านบาท จะกอบกู้วิกฤต BEAUTY ได้ทันที
แต่ทำไม ??? กลุ่มไกรภูเบศ จึงไม่ยอมซื้อคืนหุ้น หรือว่าราคาหุ้นที่รูดลงมาเหลือ 7 บาทต้น ๆ ยังแพงไปในสายตากลุ่มไกรภูเบศ
นักลงทุนรายย่อยจำนวน 19,803 ราย ที่เข้าไปเล่นกับกลุ่มไกรภูเบศ เจ็บปางตายกันถ้วน แต่วิกฤตหุ้น BEAUTY ยังไม่ถึงฉากสุดท้าย
เพราะไม่รู้ว่า มีข่าวร้ายอะไร ที่ยังไม่ถูกเปิดออกมา และผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มไกรภูเบศ อยู่ในฐานะนอนตีพุ่งสบายไปแล้ว ไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่ราคาหุ้นรูดมหาราช เหมือนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่กำใบหุ้น BEAUTY อยู่เต็มมือ
ใครที่มองโลกสวยกับหุ้นกลุ่มความงาม แห่เก็งกำไรไล่ราคาไปสูง ๆ ต้องระวังเจ้ามือขายโกยกำไร นำเงินใส่ตู้เซฟปิดตาย
ปล่อยให้รายย่อยต้องแบกหุ้นต้นทุนสูง ซ้ำรอยหุ้น BEAUTY