ดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 150 จุด มาตรการเศรษฐกิจใกล้ได้ข้อสรุป

HoonSmart.com>> ดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 150 จุด ขานรับมาตรการเศรษฐกิจใกล้ได้ข้อสรุป ด้านตลาดหุ้นยุโรปร่วงยกแผง ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average :DJIA) ปิดตลาดวันที่ 22ตุลาคม 2563 ที่ 28,363.66 จุด เพิ่มขึ้น 152.84 จุด หรือ 0.54% หลังจากที่แกว่งตลอดชั่วโมงซื้อขาย ด้วยความหวังที่จะเห็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่เพิ่มขึ้นหลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรระบุว่าการเจรจามีความคืบหน้า ใกล้จะบรรลุข้อตกลง ซึ่งช่วยกลบความกังวลต่อการติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นในหลายรัฐ
การระบาดมีแนวโน้มที่จะกระจายออกไปทั่ว หลังจาก 2 ใน 3 ของรัฐกลายเป็นพื้นที่อันตราย และอีก 6 รัฐมีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้น

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,453.49 จุด เพิ่มขึ้น 17.93 จุด, +0.52%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,506.01 จุด เพิ่มขึ้น 21.31 จุด, +0.19%

กลุ่มธนาคารนำการปรับขึ้นของตลาดหลังอัตราผลตอยแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หุ้นเจพี มอร์แกน เชสเพิ่มขึ้น 3.5% และหุ้นมอร์แกนสแตนเล่ย์เพิ่มขึ้น 2.8%, หุ้นซิตี้กรุ๊ปเพิ่มขึ้น 2.2%

นางแนนซีเปิดเผยว่า เชื่อว่าทั้งสองฝ่ายต้องการที่จะบรรลุข้อตกลง และการเจรจาใกล้จะได้ข้อสรุป แม้ในประเด็นหลักยังเห็นต่างกัน อีกทั้งยังคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะจัดทำร่างกฎหมายเยียวยาเสร็จและลงคะแนน

ด้านนายลาร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าว ในทำนองเดียวกันว่า ใกล้จะบรรลุข้อตกลง แต่นโยบายหลักยังเห็นไม่ตรงกัน
นักวิเคราะห์ระบุว่า เศรษฐกิจจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง เพราะการระบาดของไวรัสยังต่อเนื่อง การอนุมัติมาตรการที่มีวงเงินมากภายในต้นปีหน้า และการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสในปีหน้าด้วยวัคซีนจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในปีหน้า

การรายงานผลการดำเนินของบริษัทจดทะเบียนยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนตลาด โดยบริษัทเทสลาประกาศกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ห้า และในไตรมาสล่าสุดส่งมอบรถได้ถึง139,300 คัน สูงมากเป็นประวัติการณ์ หุ้นเทสลาเพิ่มขึ้น 0.8% ขณะที่บริษัทโคคา-โคล่า รายงานผลกำไรดีกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 1%

นอกจากนี้นักลงทุนยังจับตาการดีเบทรอบสองของประธานาธิบดีทรัมป์และนายโจ ไบเดนคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งผลการสำรวจล่าวสุดพบว่า นายไบเดนนำประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนักลงทุนบางส่วนมองว่าพรรคเดโมแครตจะกวาดชัยชนะ และจะทำให้การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันมีการเตือนจากเจ้าหน้าที่รัฐว่า รัสเซียและอิหร่านจะแทรกแซงการเลือกประธานาธิบดี

ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ที่แล้วที่ลดลงมาที่ 787,000 ราย และเป็นครั้งที่สองที่การยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานต่ำกว่า 800,000 ราย และต่ำกว่า 875,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเป็นวันที่สี่ แต่พ้นจากระดับต่ำสุด หลังจากซื้อขายผันผวนตลอดทั้งวันนำโดยกลุ่มแทคโนโลยีที่ลดลง 1.1% จากไม่แน่นอนของการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐฯ และจากข้อมูลเศรษฐกิจ ตลอดจนการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน

ในอังกฤษ รัฐมนตรีคลังประกาศมาตรการเยียวยาผลกระทบจากไวรัสเพิ่มเติมในวงเงินหลายพันล้านปอนด์ ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในยุโรปยังคงเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุด โดยที่สเปนเป็นประเทศแรกในยุโรปตะวันตกที่มีผู้ติดเชื้อเกินล้านคน ส่วนในฝรั่งเศส อังกฤษ และอิตาลีมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นเป็นประวัติการณ์

ในเยอรมนี สถาบัน GfK เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน ที่ระดับ-3.1จุด ลดลงจาก 1.7 จุดในเดือนก่อน
คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซนเดือนตุลาคมลดลง 1.6 จุดมาที่ระดับ -15.5 จุด

นักลงทุนยังเกาะติดการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นไอเอจี บริษัทแม่ของสายการบินบริติชแอร์เวย์ เพิ่มขึ้น 5% จากผลขาดทุน 1.3 พันล้านยูโรในไตรมาสสาม

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 360.27 จุด ลดลง 0.52 จุด, -0.14%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,785.65 จุด ลดลง 9.15 จุด, -0.16%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,824.88 จุด ลดลง 0.84 จุด, +0.02%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,543.06 จุด ลดลง 14.58 จุด, -0.12%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบ เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ ปิดที่ 40.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 3 เซนต์ ปิดที่ 42.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล